
มะเร็งกระเพาะอาหาร ส่วนใหญ่พบในคนอายุมากกว่า 40 ปี พบมากในช่วงอายุ 60-80 ปี คนอายุน้อยกว่า 40 ปีก็พบได้แต่น้อย พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 3เท่า พบมากเป็นอันดับที่ 9 ของมะเร็งในผู้ชาย

ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งชนิดนี้ ได้แก่
- กรรมพันธุ์ ผู้ที่มีพ่อแม่พี่น้องเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร มีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าคนปกติ
- การติดเชื้อเอชไพโลไร (H.pylori) ของกระเพาะอาหาร
- การมีประวัติเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรังชนิดเอ (atrophic gastritis)
- การมีประวัติเป็นโรคโลหิตจางชนิดร้ายแรง (pernicious anemia)
- การสูบบุหรี่
- การกินเนื้อสัตว์หมักเกลือ (เช่น ปลาเค็ม เนื้อเค็ม) เนื้อสัตว์รมควันหรือใส่ดินประสิว (เช่น ไส้กรอก แหนม กุนเชียง เป็นต้น) การกินเนื้อแดง (เนื้อวัว หมู) โดยการปิ้งย่าง
- การกินผักและผลไม้น้อย
- การมีประวัติเคยผ่าตัดกระเพาะอาหารมานานกว่า 20 ปี
- ภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน
- การมีติ่งเนื้อเมือก (stomach polyps) ที่กระเพาะอาหาร
- การทำงานเกี่ยวกับถ่านหิน โลหะ และยางพารา
- มีการสัมผัสแร่ใยหิน (asbestos)
- มีประวัติมะเร็งกระเพาะอาหารในครอบครัว
ระยะแรกเริ่มจะไม่มีอาการแสดงใด ๆ ต่อมาเมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้นก็จะมีอาการปวดท้อง รู้สึกหิวง่าย อาหารไม่ย่อย ท้องอืด แน่นท้องตรงบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือเหนือสะดือคล้ายโรคกระเพาะ ซึ่งในช่วงแรกกินยารักษาโรคกระเพาะอาการก็ทุเลาได้ แต่ต่อมาจะไม่ได้ผล และมีอาการอื่นตามมา เช่น คลื่นไส้อาเจียน อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายอุจจาระดำ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด คลำได้ก้อนแข็งตรงบริเวณเหนือสะดือหรือใต้ชายโครงซ้าย
เมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้น ทำให้ทางเดินอาหารอุดกั้น (ปวดท้อง อาเจียน) มีเลือดออก (ทำให้ถ่ายอุจจาระดำ โลหิตจาง)
มะเร็งมักลุกลามไปที่อวัยวะข้างเคียง ในช่องท้อง (ทำให้ปวดท้อง ท้องมาน) ต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง แอ่งเหนือไหปลาร้า และในระยะท้ายมักแพร่กระจายผ่านกระแสเลือดไปที่ปอด (เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก), ตับ (เจ็บชายโครงขวา ตาเหลืองตัวเหลือง ท้องมาน), กระดูก (ปวดกระดูก กระดูกพรุน กระดูกหัก ปวดหลัง ไขสันหลังถูกกดทับ) และอาจไปที่สมอง (ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก เวียนศีรษะ บ้านหมุน เดินเซ แขนขาชาและเป็นอัมพาต ชัก)
แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยเอกซเรย์กระเพาะอาหารโดยการกลืนแป้งแบเรียม การใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะอาหาร (gastroscopy) และตัดชิ้นเนื้อนำไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ การตรวจหาระดับสารบ่งชี้มะเร็ง (tumor marker) ได้แก่ สารซีอีเอ (carcinoembryonic antigen/CEA) ซึ่งมีส่วนช่วยในการวินิจฉัยและการติดตามผลการรักษา
หากพบว่าเป็นมะเร็งก็จะทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีต่าง ๆ (เช่น เอกซเรย์, อัลตราซาวนด์, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์, การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า-MRI, การตรวจเพทสแกน-PET scan เป็นต้น) เพื่อประเมินว่าเป็นมะเร็งระยะใด
แพทย์จะให้การรักษาด้วยการผ่าตัด และเคมีบำบัด ในรายที่เป็นมากอาจให้เคมีบำบัดรังสีบำบัด และ/หรือการใช้ยาแบบจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง (targeted therapy drugs)
ผลการรักษา ถ้าเป็นมะเร็งระยะแรก ๆ การรักษาได้ผลดี หรือหายขาดได้ (มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีประมาณร้อยละ 80-90)
แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมาพบแพทย์เมื่อมีอาการในระยะท้าย ๆ ซึ่งมะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นแล้ว การรักษามักได้ผลไม่ดี มักมีชีวิตอยู่ได้นานสักระยะหนึ่ง (มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีประมาณร้อยละ 20-40)
หากสงสัย เช่น มีอาการปวดแน่นท้องตรงบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือเหนือสะดือคล้ายโรคกระเพาะนานเกิน 2-4 สัปดาห์ หรือกินยารักษาโรคกระเพาะไม่ทุเลา, อาเจียนบ่อย, อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายอุจจาระดำ, น้ำหนักลด เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
- หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
- ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
- ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
- ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
- ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
- ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี
- มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
- ขาดยาหรือยาหาย
- ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล อาจลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารด้วยการปฏิบัติ ดังนี้
- ไม่สูบบุหรี่
- หลีกเลี่ยงการกินปลาเค็ม เนื้อเค็ม ผักดอง เนื้อสัตว์รมควันหรือใส่ดินประสิว เนื้อแดงที่ปิ้งย่าง
- หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
- กินผักและผลไม้ให้มาก ๆ
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ถ้าพบว่ามีการติดเชื้อเอชไพโรไลของกระเพาะอาหารควรรักษาให้หายขาด
1. ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติโรคนี้ในครอบครัว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะอาหารตั้งแต่ระยะก่อนมีอาการ
2. ผู้ที่มีอาการปวดจุกแน่นท้อง หรือมีอาการของโรคกระเพาะเรื้อรัง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ
3. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี