- ระบุอาการเบื้องต้น
- ตอบคำถาม
- ผลตรวจอาการ
- 1
- 2
- 3
น้ำหนักลดลงอย่างน้อยร้อยละ 5 ของน้ำหนักเดิมภายในระยะเวลา 10 สัปดาห์หรือน้อยกว่า โดยที่ไม่ได้ตั้งใจจะลดน้ำหนัก ผู้ป่วยอาจสังเกตว่าเสื้อผ้าที่เคยสวมใส่อยู่เกิดหลวมบริเวณคอ แขน ขา และเอว แก้มตอบ หรือมีคนอื่นทักว่าผอม
สาเหตุที่พบบ่อย : เบาหวาน ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน วัณโรค มะเร็ง เอดส์ โรควิตกกังวล


- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ที่พบบ่อย คือ ผู้ป่วยเอดส์ (มีโอกาสเป็นวัณโรคในตลอดช่วงถึงร้อยละ 50 หรือ มากกว่าร้อยละ 10 ต่อปี) เบาหวาน ไตวาย ผู้ที่กินยาสตีรอยด์นาน ๆ หรือใช้ยาเคมีบำบัด ผู้ป่วยติดเชื้อบางชนิด (เช่น หัด ไอกรน ไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น) ผู้ที่ตรากตรำงานหนักหรือมีความเครียดสูง
- ผู้ติดยาเสพติดหรือแอลกอฮอล์
- ผู้ที่มีภาวะขาดอาหาร คนจรจัด
- ผู้ที่อยู่ในสถานที่แออัด การระบายอากาศไม่ดี เช่น เรือนจำ ศูนย์อพยพ เป็นต้น
- ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยเป็นระยะยาวนาน เช่น สมาชิกในบ้านผู้ป่วย เพื่อนร่วมห้องพักหรือห้องทำงาน
- บุคลากรสาธารณสุขที่ให้การดูแลพยาบาลผู้ป่วย
- ผู้สูงอายุ (พบอุบัติการณ์สูงในกลุ่มอายุมากกว่า 65ปี)
- ทารกแรกเกิด

- วัณโรคต่อมน้ำเหลือง พบบ่อยที่ข้างคอ มีลักษณะเป็นก้อนบวมที่ข้างคอ นุ่ม ไม่มีอาการเจ็บปวด อาจแตกมีหนองไหลเรื้อรัง โบราณเรียก ฝีประคำร้อย ไม่มีอาการเจ็บปวด
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากวัณโรค มีอาการไข้ ปวดศีรษะรุนแรง อาเจียนรุนแรง ซึม ชัก คอแข็ง
- วัณโรคกระดูก เช่น วัณโรคข้อเข่า (มีไข้เรื้อรัง ข้อบวมแดงร้อน) วัณโรคกระดูกสันหลัง (มีอาการปวดหลังเรื้อรัง หลังคดโก่ง กดเจ็บ อาจมีอาการขาอ่อนแรง)
- วัณโรคกล่องเสียง มีอาการเสียงแหบเรื้อรัง
- วัณโรคลำไส้ มีอาการปวดท้องและท้องเดินเรื้อรัง น้ำหนักลด อาจคลำได้ก้อนในท้อง ถ้าลุกลามไปที่เยื่อบุช่องท้องทำให้เกิดอาการท้องมาน
- วัณโรคไต ทำให้กรวยไตอักเสบเรื้อรัง ตรวจพบเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะให้ยาปฏิชีวนะ (ที่ไม่ใช่ยารักษาวัณโรค) หลายชนิดแล้วก็ไม่หาย
- วัณโรคเยื่อหุ้มหัวใจ มีอาการไข้ คอบวม หายใจหอบเหนื่อย
- วัณโรคเยื่อหุ้มปอด มีอาการไข้ แน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก หายใจหอบเหนื่อย มีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด
- ไปพบแพทย์ตามนัด และกินยาให้ครบทุกวันตามที่แพทย์กำหนด
- พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ
- กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะอาหารพวกโปรตีน (เนื้อ นม ไข่ ถั่วต่าง ๆ)
- งดบุหรี่ แอลกอฮอล์ และยาเสพติด
- จัดบ้านและห้องนอนให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกและแสงแดดส่องถึง
- เวลาไอหรือจาม ควรใช้ผ้าหรือกระดาษทิชชูปิดปาก
- ควรบ้วนเสมหะลงในภาชนะหรือกระป๋องที่มีฝาปิดมิดชิด แล้วนำเสมหะไปเผาไฟหรือฝังดิน
- ควรแยกออกห่างจากผู้อื่น เช่น แยกห้องนอน อย่าอยู่ใกล้ชิดกับคนอื่น อย่าเข้าไปในห้างสรรพสินค้า รถโดยสารสาธารณะ สถานบันเทิง ที่ชุมนุมชน และควรแยกถ้วย ชาม สำรับอาหารและเครื่องใช้ออกต่างหาก จนกว่าจะกินยารักษาวัณโรคทุกวันแล้วอย่างน้อย 2 สัปดาห์ และหายไอแล้ว ระหว่างนี้หากจำเป็นต้องเข้าใกล้คนอื่น หรือเข้าไปในที่ชุมนุมชน ควรใช้หน้ากากอนามัยปิดปากและจมูก
- สำหรับแม่ที่เป็นวัณโรคปอด ควรแยกออกห่างจากลูก อย่ากอดจูบลูก และไม่ให้ลูกดูดนมตัวเองจนกว่าจะตรวจไม่พบเชื้อแล้ว
- ผู้ป่วยที่ต้องทำงานกับกลุ่มเสี่ยง (เช่น ผู้ป่วยเอดส์ เด็กเล็ก) ควรอยู่แยกออกห่างจากคนเหล่านี้จนกว่าจะตรวจไม่พบเชื้อแล้ว
- ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรคระยะติดต่อ ผู้ที่พบรอยโรคในปอดจากภาพถ่ายรังสี ซึ่งมีผลการทดสอบทูเบอร์คูลินขนาด ≥ 5 มม. ควรกินยาป้องกันนานอย่างน้อย 12 เดือน
- เด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี ผู้ที่ฉีดยาเสพติดหรือติดแอลกอฮอล์ ผู้ป่วยเบาหวาน ไตวายเรื้อรัง มะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ผู้ที่อยู่ในสถานที่ที่มีความเสี่ยงสูง (เช่น นักโทษในเรือนจำ ผู้สูงอายุในสถานพักฟื้น บุคลากรที่ดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาล เป็นต้น) ซึ่งมีผลการทดสอบทูเบอร์คูลินขนาด ≥ 10 มม.
- บุคคลทั่วไปที่ไม่ได้เป็นกลุ่มเสี่ยง ซึ่งมีผลการทดสอบทูเบอร์คูลินขนาด ≥ 15 มม.
เกิดจากเชื้อเอชไอวี* ซึ่งเป็นไวรัสชนิดใหม่ เพิ่งมีการเพาะเลี้ยงแยกเชื้อได้ในปี พ.ศ. 2526 เชื้อนี้มีมากในเลือด น้ำอสุจิ และน้ำเมือกในช่องคลอดของผู้ติดเชื้อ จึงสามารถแพร่เชื้อได้โดย
1. ทางเพศสัมพันธ์ ทั้งต่างเพศและเพศเดียวกัน (ในชายรักร่วมเพศ หรือเกย์)
2. ทางเลือด เช่น การได้รับการถ่ายเลือด การปลูกถ่ายอวัยวะที่มีเชื้อ การแปดเปื้อนผลิตภัณฑ์จากเลือด การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน เป็นต้น
ส่วนการใช้ของมีคม (เช่น ใบมีดโกน เป็นต้น) ร่วมกับผู้ติดเชื้อ การสัก การเจาะหู อาจมีโอกาสแปดเปื้อนเลือดที่มีเชื้อได้ แต่จะมีโอกาสติดโรคได้ก็ต่อเมื่อมีแผลเปิด และปริมาณเลือดหรือน้ำเหลืองที่เข้าไปในร่างกายมีจำนวนมากพอ
3. การติดต่อจากมารดาที่มีเชื้อสู่ทารก ตั้งแต่ระยะอยู่ในครรภ์ ระยะคลอด และระยะเลี้ยงดูหลังคลอด โอกาสที่ทารกจะติดเชื้อจากมารดาประมาณร้อยละ 20-50
จากการศึกษาในประเทศต่าง ๆ เท่าที่ผ่านมา ไม่พบว่ามีการติดต่อโดย
- การหายใจ ไอ จามรดกัน
- การกินอาหารและดื่มน้ำร่วมกัน
- การว่ายน้ำในสระ หรือเล่นกีฬาร่วมกัน
- การใช้ห้องน้ำร่วมกัน
- การอยู่ในห้องเรียน ห้องทำงาน ยานพาหนะ หรือการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ
- การสัมผัส โอบกอด
- การใช้ครัว ภาชนะเครื่องครัว จาน แก้ว หรือผ้าเช็ดตัวร่วมกัน
- การใช้โทรศัพท์ร่วมกัน
- การถูกยุงหรือแมลงกัด
เชื้อเอชไอวีเมื่อเข้าสู่ร่างกาย ก็จะมีการเพิ่มจำนวน สามารถแยกเชื้อไวรัสหรือตรวจพบสารก่อภูมิต้านทาน (แอนติเจน) ได้หลังติดเชื้อ 2-6 สัปดาห์ และจะตรวจพบสารภูมิต้านทาน (แอนติบอดี) ได้หลังติดเชื้อ 3-12 สัปดาห์
ผู้ที่ตรวจพบสารภูมิต้านทานในเลือดร้อยละ 90 จะมีเชื้อเอชไอวีในกระแสเลือด ซึ่งสามารถแพร่โรคให้ผู้อื่นได้ แม้จะไม่มีอาการอะไรเลยก็ตาม
เนื่องจากผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะมีการเปลี่ยนของร่างกายแตกต่างกันไป สุดแล้วแต่จำนวนของเชื้อและระดับภูมิคุ้มกัน (จำนวน CD4) ของร่างกาย ดังนั้นโรคนี้จึงสามารถแบ่งออกเป็น 4 ระยะด้วยกันดังนี้
1. ระยะแรกเริ่มของการติดเชื้อเอชไอวี (primary HIV infection หรือ acute retroviral syndrome) ระยะนี้นับตั้งแต่เริ่มติดเชื้อเอชไอวี จนกระทั่งร่างกายเริ่มสร้างสารภูมิต้านทาน กินเวลาประมาณ 1-6 สัปดาห์ หลังติดเชื้อผู้ป่วยจะมีอาการไข้ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว มีผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว น้ำหนักลด หรือมีฝ้าขาวในช่องปาก อาการเหล่านี้มักจะเป็นอยู่ 1-2 สัปดาห์ (บางรายเพียง 2-3 วัน บางรายอาจนานถึง 10 สัปดาห์) แล้วหายไปได้เอง เนื่องจากอาการคล้ายกับไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือไข้ทั่ว ๆ ไป ผู้ป่วยอาจซื้อยารักษาเอง หรือเมื่อไปพบแพทย์ก็อาจไม่ได้รับการตรวจเลือด นอกจากนี้บางรายหลังติดเชื้ออาจไม่มีอาการผิดปกติปรากฏให้เห็น ดังนั้น ผู้ติดเชื้อในระยะนี้จึงมักไม่ได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่ในระยะนี้
ผู้ติดเชื้อบางรายอาจมีอาการรุนแรง มีอาการสมองอักเสบหรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบร่วมด้วย ผู้ป่วยที่มีอาการอยู่นานหรือรุนแรง มักดำเนินโรคเข้าสู่ระยะเอดส์เต็มขั้นภายในเวลาสั้น ๆ
ถ้ามีจำนวน CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม. ก็อาจเกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาสได้
2. ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ ผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ หรือมีอาการเล็กน้อยอยู่ชั่วขณะดังกล่าวมักจะแข็งแรงเป็นปกติเหมือนคนทั่วไป แต่การตรวจเลือดจะพบเชื้อเอชไอวีและสารภูมิต้านทานต่อเชื้อชนิดนี้ และสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ เรียกว่าเป็นพาหะ (carrier)
ระยะนี้แม้ว่าจะไม่มีอาการ แต่เชื้อเอชไอวีจะแบ่งตัวเจริญขึ้นไปเรื่อย ๆ และทำลาย CD4 จนมีจำนวนลดลง โดยเฉลี่ยประมาณปีละ 50-75 เซลล์/ลบ.มม. จากระดับปกติ (คือ 600-1,000 เซลล์) เมื่อลดต่ำลงมาก ๆ ก็จะเกิดอาการเจ็บป่วย ทั้งนี้อัตราการลดลงของ CD4 จะเร็วช้าขึ้นกับความรุนแรงของเชื้อเอชไอวี และสภาพความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย
ระยะนี้มักเป็นอยู่นาน 5-10 ปี บางรายอาจสั้นเพียง 2-3 เดือน แต่บางรายอาจนานกว่า 10-15 ปีขึ้นไป
3. ระยะติดเชื้อที่มีอาการ เดิมเรียกว่า ระยะที่มีอาการสัมพันธ์กับเอดส์ (AIDS related complex/ARC) ผู้ป่วยจะมีอาการมากน้อยขึ้นกับจำนวน CD4 ดังนี้
3.1 อาการเล็กน้อย ระยะนี้ถ้าตรวจ CD4 จะมีจำนวนมากกว่า 500 เซลล์/ลบ.มม. ผู้ป่วยอาจมีอาการ ดังนี้
- ต่อมน้ำเหลืองที่คอโตเล็กน้อย
- โรคเชื้อราที่เล็บ
- แผลแอฟทัส (aphthous ulcer)
- ผิวหนังอักเสบชนิดเกล็ดรังแคที่ไรผม ข้างจมูก ริมฝีปาก
- ฝ้าขาวข้างลิ้น (hairy leukoplakia) ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสอีบีวี (Epstein-Barr virus/EBV) มีลักษณะเป็นฝ้าขาวที่ด้านข้างของลิ้น ซึ่งขูดไม่ออก
- โรคโซริอาซิสที่เคยเป็นอยู่เดิมกำเริบ
3.2 อาการปานกลาง ระยะนี้ถ้าตรวจ CD4 จะมีจำนวนระหว่าง 200-500 เซลล์/ลบ.มม. ผู้ป่วยอาจมีอาการทางผิวหนังและเยื่อบุช่องปากแบบข้อ 3.1 หรือไม่ก็ได้ อาการที่อาจพบได้มีดังนี้
- เริม ที่ริมฝีปาก หรืออวัยวะเพศ ซึ่งกำเริบบ่อย และเป็นแผลเรื้อรัง
- งูสวัด ที่มีอาการกำเริบอย่างน้อย 2 ครั้ง หรือขึ้นพร้อมกันมากกว่า 2 แห่ง
- โรคเชื้อราในช่องปาก หรือช่องคลอด
- ท้องเดินบ่อย หรือเรื้อรังนานเกิน 1 เดือน
- ไข้เกิน 37.8 องศาเซลเซียส แบบเป็น ๆ หาย ๆ หรือติดต่อกันทุกวันนานเกิน 1 เดือน
- ต่อมน้ำเหลืองโตมากกว่า 1 แห่งในบริเวณที่ไม่ติดต่อกัน (เช่น คอ รักแร้ ขาหนีบ) นานเกิน 3 เดือน
- น้ำหนักลดเกินร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัวโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ปวดกล้ามเนื้อและข้อ
- ไซนัสอักเสบเรื้อรัง
- ปอดอักเสบจากแบคทีเรีย ซึ่งเป็นซ้ำบ่อย
4. ระยะป่วยเป็นเอดส์ (เอดส์เต็มขั้น) ระยะนี้ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยเสื่อมเต็มที่ ถ้าตรวจ CD4 จะพบมีจำนวนต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม. เป็นผลทำให้เชื้อโรคต่าง ๆ เช่น เชื้อรา ไวรัส แบคทีเรีย โปรโตซัว วัณโรค เป็นต้น ฉวยโอกาสเข้ารุมเร้า เรียกว่า โรคติดเชื้อฉวยโอกาส (opportunistic infections) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อที่รักษาค่อนข้างยาก และอาจติดเชื้อชนิดเดิมซ้ำอย่างเดียว หรือติดเชื้อชนิดใหม่ หรือติดเชื้อหลายชนิดร่วมกัน
ระยะนี้ผู้ป่วยอาจมีอาการดังนี้
- เหงื่อออกมากตอนกลางคืน
- ไข้ หนาวสั่น หรือไข้สูงเรื้อรังติดต่อกันหลายสัปดาห์ หรือเป็นแรมเดือน
- ไอเรื้อรัง หรือหายใจหอบเหนื่อยจากวัณโรคปอด หรือปอดอักเสบ
- ท้องเดินเรื้อรังจากเชื้อราหรือโปรโตซัว
- น้ำหนักลด รูปร่างผอมแห้ง และอ่อนเปลี้ยเพลียแรง
- ปวดศีรษะรุนแรง ชัก สับสน ซึม หรือหมดสติจากการติดเชื้อในสมอง
- แขนขาชาหรืออ่อนแรง
- ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน
- กลืนลำบาก หรือเจ็บเวลากลืน เนื่องจากหลอดอาหารอักเสบจากเชื้อรา
- สายตาพร่ามัวมองไม่ชัด หรือเห็นเงาหยากไย่ลอยไปมาจากจอตาอักเสบ
- ตกขาวบ่อย
- มีผื่นคันตามผิวหนัง (papulopruritic eruption)
- ซีด
- มีจุดแดงจ้ำเขียว หรือเลือดออกจากภาวะเกล็ดเลือดต่ำ หรือไอทีพี
- สับสน ความจำเสื่อม หลงลืมง่าย ไม่มีสมาธิ พฤติกรรมผิดแปลกไปจากเดิม เนื่องจากความผิดปกติของสมอง (อ่านเพิ่มเติมในหัวข้อ "ภาวะแทรกซ้อน" ด้านล่าง)
- อาการของโรคมะเร็งที่เกิดแทรกซ้อน เช่น มะเร็งของผนังหลอดเลือดที่เรียกว่า Kaposi’s sarcoma (KS)* มะเร็งต่อมน้ำเหลืองในสมอง มะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก เป็นต้น
ในเด็กที่ติดเชื้อเอชไอวี ระยะแรกอาจมีอาการน้ำหนักตัวไม่ขึ้นตามเกณฑ์ เมื่อโรคลุกลามมากขึ้นก็อาจมีอาการเดินลำบาก หรือพัฒนาการทางสมองช้ากว่าปกติ และเมื่อเป็นเอดส์เต็มขั้น นอกจากมีโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแบบเดียวกับผู้ใหญ่แล้ว ยังอาจพบว่าหากเป็นโรคที่พบทั่วไปในเด็ก (เช่น หูชั้นกลางอักเสบ ปอดอักเสบ ทอนซิลอักเสบ) ก็มักจะมีอาการรุนแรงมากกว่าปกติ


ฝ้าขาวข้างลิ้น (hairy leukoplakia)
ลักษณะเป็นฝ้าขาวที่ด้านข้างของลิ้น ซึ่งขูดไม่ออก

ผื่นตุ่มที่ผิวหนังจะไม่มีอาการเจ็บปวดหรือคันแต่อย่างใด ส่วนมากจะขึ้นมากกว่า 1 รอยโรคซึ่งอยู่แยกกัน และมีรอยโรคใหม่ทยอยขึ้นไปเรื่อย ๆ ทุกสัปดาห์ บางครั้งก็อาจแผ่รวมกันเป็นผื่นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหลายเซนติเมตร
ส่วนผื่นในช่องปาก บางครั้งอาจกลายเป็นแผล มีเลือดออก และอาจทำให้พูดและกินอาหารได้ลำบาก อาจทำให้ฟันหลุด หรืออุดกั้นทางเดินหายใจ
ถ้าเป็นที่บริเวณต่อมน้ำเหลือง อาจทำให้ขาบวมจากการอุดกั้นของทางเดินน้ำเหลือง
นอกจากนี้อาจขึ้นที่เยื่อบุทางเดินอาหาร (อาจทำให้ท้องเดิน ลำไส้อุดกั้น ถ่ายเป็นเลือด) เยื่อบุทางเดินหายใจ (อาจทำให้ไอเป็นเลือด หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก)
มักพบในผู้ป่วยเอดส์ที่มีจำนวน CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม. ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ ได้แก่ การติดเชื้อฉวยโอกาส ซึ่งอาจมีความรุนแรง และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตได้ บางรายอาจมาพบแพทย์ด้วยอาการของภาวะแทรกซ้อนมากกว่าอาการของโรคเอดส์เอง โรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่พบบ่อย ได้แก่
- วัณโรคปอด และวัณโรคนอกปอด (เช่น ต่อมน้ำเหลือง เยื่อหุ้มสมอง เยื่อหุ้มปอด เยื่อหุ้มหัวใจ วัณโรคชนิดแพร่กระจาย) ซึ่งมักเป็นรุนแรงและอาจดื้อต่อยารักษาวัณโรคหลายชนิด
- ปอดอักเสบจากเชื้อรานิวโมซิสติสจิโรเวซิ (Pneumocystis jiroveci) เรียกว่า "ปอดอักเสบจากนิวโมซิสติส (pneumocystis pneumonia/PCP)"
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อราคริปโตค็อกคัส (cryptococcal meningitis) มักพบในผู้ป่วยเอดส์ที่มีจำนวน CD4 ต่ำกว่า 50 เซลล์/ลบ.มม.
- หลอดอาหารอักเสบจากเชื้อราแคนดิดา (esophageal candidiasis) ทำให้มีอาการกลืนลำบาก เจ็บเวลากลืน เจ็บตรงบริเวณหลังกระดูกลิ้นปี่ และมักมีโรคเชื้อราในช่องปากร่วมด้วย นอกจากนี้ยังอาจพบหลอดลมอักเสบ และปอดอักเสบจากเชื้อแคนดิดา
- ปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ที่พบในคนปกติทั่วไป แต่มักจะเป็นมากกว่า 1 ครั้งใน 1 ปี
- โรคติดเชื้อฉวยโอกาสอื่น ๆ เช่น จอตาอักเสบจากเชื้อไวรัสไซโตเมกะโล (cytomegalovirus/CMV retinitis ทำให้สายตามัว อาจรุนแรงถึงตาบอดได้ มักพบในผู้ป่วยที่มี CD4 ต่ำกว่า 50 เซลล์/ลบ.มม.) ท้องเดินรุนแรงจากเชื้อซัลโมเนลลา (salmonellosis) ตับอักเสบจากไวรัส การติดเชื้อไวรัสเอชพีวี ซึ่งอาจทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูก การติดเชื้อไวรัสโพลีโอมา (polyomavirus) ที่สมอง ทำให้เกิดความผิดปกติของสมองที่เรียกว่า "Progressive multifocal leukoencephalopathy" (มีอาการพูดลำบาก ตาบอดข้างหนึ่ง แขนขาชาและอ่อนแรงซีกหนึ่ง ความจำเสื่อม) การติดเชื้อรุนแรงชนิดแพร่กระจายทั่วร่างกายจากเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium avium complex (MAC) เชื้อโปรโตซัว-Toxoplasma gondii และเชื้อรา-Histoplasma capsulatum เป็นต้น
นอกจากนี้ยังอาจพบภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น
- มะเร็ง ที่พบบ่อยได้แก่ มะเร็งของผนังหลอดเลือดที่มีชื่อว่า Kaposi’s sarcoma มะเร็งต่อมน้ำเหลืองกลุ่มไม่ใช่ฮอดคินส์ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก (ในผู้ป่วยที่เป็นชายรักร่วมเพศ)
- ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาทและสมอง ที่พบบ่อยก็คือ ภาวะ AIDS dementia complex หรือ ADC (มีชื่อเรียกอื่น เช่น HIV dementia, HIV encephalopathy, HIV associated dementia) ซึ่งไม่ได้เกิดจากโรคติดเชื้อแทรกซ้อนของสมอง แต่เป็นผลการเปลี่ยนแปลงของเซลล์สมองจากเชื้อเอชไอวีโดยตรง ทำให้มีอาการผิดปกติทางสมองและจิตประสาท เช่น ความจำเสื่อม หลงลืมง่าย สับสน ขาดสมาธิ การทำงานของกล้ามเนื้อผิดปกติ (เช่น พูดลำบาก เคลื่อนไหวเชื่องช้า เดินเซ สั่น แขนขาเป็นอัมพาต กลั้นปัสสาวะไม่ได้) พฤติกรรมผิดแปลกไปจากเดิม (เช่น ไร้อารมณ์ ซึม กระสับกระส่าย ฟุ้งพล่าน ไม่ยอมพูด) มักพบในผู้ป่วยเอดส์ระยะท้าย ๆ ปัจจุบันพบภาวะนี้ได้น้อยลงเนื่องจากมีการใช้ยาต้านไวรัสรักษาผู้ป่วยเอดส์
นอกจากนี้ ยังอาจมีโรคไขสันหลังอักเสบ (ขาชาและอ่อนแรง กลั้นปัสสาวะไม่ได้) ปลายประสาทอักเสบ (มีอาการปวดแสบปวดร้อนและชาที่ขา)
- อาการน้ำหนักลดมากจนมีลักษณะผอมแห้ง (wasting syndrome) มักมีอาการไข้เรื้อรัง ท้องเดิน และอ่อนเปลี้ยเพลียแรงร่วมด้วย
- ภาวะโลหิตจาง
- ภาวะเกล็ดเลือดต่ำจากไอทีพี
- ปวดข้อ ข้ออักเสบ
- ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- ถุงน้ำดีอักเสบ อุ้งเชิงกรานอักเสบ (pelvic Inflammatory disease) ช่องคลอดอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
- โรคไตเนโฟรติก ภาวะไตวายเรื้อรัง
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้
ในระยะที่มีอาการป่วยเป็นเอดส์แล้ว จะตรวจพบอาการผิดปกติต่าง ๆ เช่น ไข้ ซูบผอม ต่อมน้ำเหลืองโตหลายแห่ง (บริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบ) ซีด จุดแดง จ้ำเขียว เป็นต้น
ในช่องปากอาจพบอาการลิ้นหรือช่องปากเป็นฝ้าขาวจากเชื้อราแคนดิดา รอยฝ้าขาวข้างลิ้น (hairy leukoplakia) แผลเริมเรื้อรัง แผลแอฟทัส ปากเปื่อย ก้อนเนื้องอก (มะเร็ง) เป็นต้น
บริเวณผิวหนัง อาจพบวงผื่นของโรคเชื้อรา (กลาก เกลื้อน โรคเชื้อราแคนดิดา) ลุกลามเป็นบริเวณกว้างและเรื้อรัง เริม งูสวัด แผลเรื้อรัง พุพอง ก้อนเนื้องอก หูดข้าวสุก ผื่นหรือตุ่มสีน้ำตาล สีแดง หรือสีม่วง (Kaposi’s sarcoma) ตุ่มหนองหรือตุ่มคล้ายหูดข้าวสุกกระจายทั่วไปจากเชื้อราเพนิซิลเลียม มาร์เนฟไฟ (Penicillium marneffei) ผิวหนังแห้ง คัน เป็นเกล็ดขาว เป็นตุ่มคัน เป็นต้น
ในรายที่เป็นปอดอักเสบ จะมีอาการหายใจหอบ ใช้เครื่องฟังตรวจปอดมีเสียงกรอบแกรบ (crepitation)
ในรายที่เป็นโรคติดเชื้อของสมอง จะมีอาการซึม เพ้อ ชัก หมดสติ ถ้าเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบจะตรวจพบอาการคอแข็ง
นอกจากนี้ อาจตรวจพบอาการแขนขาชาหรืออ่อนแรงจากไขสันหลังอักเสบ หรือปลายประสาทอักเสบ ข้ออักเสบบวมแดงร้อน บวมจากโรคไต ดีซ่านจากตับอักเสบ เป็นต้น
แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวี
แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้
1. ในรายที่มีความเสี่ยง เช่น หญิงบริการ ผู้ที่ชอบเที่ยวหรือมีเพศสัมพันธ์เสรี ผู้ที่ฉีดยาเสพติด แม่บ้านที่สามีมีพฤติกรรมเสี่ยง ผู้ที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (เช่น หนองใน ซิฟิลิส) ผู้หญิงตั้งครรภ์ เป็นต้น แพทย์จะให้คำปรึกษาในการตรวจเลือดพิสูจน์บนพื้นฐานของความสมัครใจ และต้องรักษาความลับในกรณีตรวจพบเลือดบวก
การตรวจเลือดเพื่อบ่งบอกการติดเชื้อเอชไอวี สามารถกระทำโดยวิธีใดวิธีหนึ่งดังนี้
- การตรวจหาสารภูมิต้านทาน (แอนติบอดี) ต่อเชื้อเอชไอวี โดยวิธีอีไลซ่า (ELISA) จะตรวจพบสารภูมิต้านทานหลังติดเชื้อ 3-12 สัปดาห์ (ส่วนใหญ่ประมาณ 8 สัปดาห์ บางรายอาจนานถึง 6 เดือน)* วิธีนี้เป็นการตรวจกรองขั้นต้น ถ้าพบเลือดบวก ต้องทำการตรวจยืนยันด้วยวิธีอีไลซ่าที่ผลิตโดยอีกบริษัทหนึ่งที่ไม่ซ้ำกับวิธีตรวจครั้งแรก หรือทำการตรวจด้วยวิธี particle agglutination test (PA) ถ้าให้ผลบวกก็สามารถวินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อเอชไอวี แต่ถ้าให้ผลลบก็ต้องตรวจยืนยันโดยวิธีเวสเทิร์นบลอต (Western blot) อีกครั้ง ซึ่งให้ผลบวก 100% หลังติดเชื้อ 2 สัปดาห์
- การตรวจหาสารก่อภูมิต้านทานหรือแอนติเจน (ส่วนประกอบของตัวเชื้อเอชไอวี) โดยวิธี PCR จะตรวจพบแอนติเจนหลังติดเชื้อ 2-6 สัปดาห์
ถ้าตรวจเลือดพบว่ามีการติดเชื้อเอชไอวี (เลือดบวก) แน่ชัด โดยไม่มีอาการก็จัดว่าเป็นผู้ติดเชื้อโดยไม่มีอาการหรือพาหะ ควรให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวเพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรง และหลีกเลี่ยงการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น (อ่านเพิ่มเติมในหัวข้อ "ข้อแนะนำ" ด้านล่าง)
2. ในรายที่มีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นเอดส์ แพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยโดยการตรวจเลือดและทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ เช่น ทำการทดสอบทูเบอร์คูลิน (tuberculin test) ตรวจเสมหะและเอกซเรย์ในรายที่สงสัยจะเป็นวัณโรคปอด ตรวจเสมหะและเอกซเรย์ปอดในรายที่สงสัยเป็นปอดอักเสบ เจาะหลังในรายที่สงสัยจะเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ส่องกล้องตรวจดูทางเดินอาหารในรายที่สงสัยจะมีการติดเชื้อราแคนดิดา ตรวจชิ้นเนื้อในรายที่สงสัยเป็นมะเร็ง เป็นต้น
การตรวจเลือด นอกจากตรวจยืนยันการติดเชื้อเอชไอวีแล้ว ยังมีการตรวจนับ CD4 ทุก 3-6 เดือน และการตรวจวัดปริมาณเชื้อเอชไอวีในเลือด (viral load หรือ HIV-RNA) เป็นระยะเพื่อใช้ในการประเมินความรุนแรงของโรค การตัดสินใจเริ่มให้ยารักษา การติดตามการดำเนินของโรค และการปรับวิธีการรักษา
การรักษา ผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ มีหลักการรักษาคร่าว ๆ ดังนี้
(1) ให้ยาต้านไวรัส (anti-retrovirus/ARV) มีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อเอชไอวี สามารถลดจำนวนของเชื้อเอชไอวี ซึ่งจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น ชะลอการเกิดโรคเอดส์และลดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ทำให้ผู้ป่วยมีสุขภาพที่ดีและอายุยืนยาวขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้ช่วยให้หายขาดจากโรค
แพทย์จะพิจารณาให้ยาต้านไวรัสในกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้
- เมื่อมีอาการแสดงของโรคทั้งในระยะแรกเริ่มและระยะหลัง การให้ยาต้านไวรัสในผู้ป่วยที่เป็นระยะแรกเริ่ม (primary HIV infection) สามารถชะลอการดำเนินโรคเข้าสู่ระยะที่รุนแรงได้
- เมื่อยังไม่มีอาการแสดง แต่ตรวจเลือดพบว่ามีค่า CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม.
- เมื่อยังไม่มีอาการแสดง แต่มีค่า CD4 200-350 เซลล์/ลบ.มม. อาจพิจารณาให้ยาต้านไวรัสเป็นราย ๆ ไป เช่น ในรายที่ปริมาณเชื้อไวรัสสูง มีอัตราการลดลงของ CD4 อย่างรวดเร็ว ความพร้อมของผู้ป่วย เป็นต้น
การให้ยาต้านไวรัส ควรอธิบายให้ผู้ป่วยและญาติทราบถึงความจำเป็นที่ต้องกินยาให้ตรงเวลาและต่อเนื่องทุกวัน และร่วมกันหามาตรการในการปฏิบัติ ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาการดื้อยาหากกินยาไม่ต่อเนื่อง
โดยทั่วไป แพทย์จะให้ยาต้านไวรัสความแรงสูง (HAART) ด้วยยาต้านไวรัส 3 ชนิดร่วมกัน เช่น GPO-vir S30**, GPO-vir S40*** เป็นต้น ก่อนให้ยาจะตรวจจำนวน CD4 และปริมาณเชื้อเอชไอวีในเลือด (viral load) 2 ครั้ง เพื่อใช้สำหรับเปรียบเทียบ หลังการรักษา 4-8 สัปดาห์ทำการเจาะเลือดซ้ำ ถ้าได้ผลดีก็จะเจาะเลือดทุก 2-4 เดือน แต่ถ้ามีการลดลงของ CD4 ก็จะเจาะถี่ขึ้น
ถ้าพบว่าเชื้อดื้อยา**** ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนสูตรยาใหม่
ในการใช้ยาควรติดตามดูผลข้างเคียง ซึ่งอาจมีอันตรายต่อผู้ป่วย หรือทำให้ผู้ป่วยไม่ยอมกินอย่างต่อเนื่องได้
(2) ให้การรักษาภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น ในที่นี้ขอยกตัวอย่างโรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่พบบ่อย เช่น
- วัณโรค ถ้าตรวจพบว่ามีอาการเจ็บป่วยของวัณโรคก็ให้ยารักษาวัณโรค แต่ควรหลีกเลี่ยงสูตรยาวัณโรคที่มีไรแฟมพิซิน เพราะยานี้ต้านฤทธิ์ยาต้านไวรัส
- ปอดอักเสบ จากเชื้อรานิวโมซิสติสจิโรเวซิ (Pneumocystis pneumonia/PCP) เมื่อมีอาการเจ็บป่วยด้วยโรคนี้ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น โคไตรม็อกซาโซล กินหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำ หรือให้เพนทาไมดีน (pentamidine) ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ หรือให้โคไตรม็อกซาโซล กินร่วมกับแดปโซน (dapsone) โดยให้ยาขนานใดขนานหนึ่งนาน 21 วัน
ผู้ป่วยที่เคยเป็นปอดอักเสบ PCP มาก่อน มีประวัติโรคเชื้อราในช่องปาก หรือโรคติดเชื้อฉวยโอกาส หรือมี CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม. ควรให้ยาป้องกัน โดยให้โคไตรม็อกซาโซล วันละ 1-2 เม็ด หรือ 2 เม็ด 3 วัน/สัปดาห์ หรือแดปโซน 100 มก. ทุกวัน
โคไตรม็อกซาโซลยังสามารถใช้ป้องกันการติดเชื้อท็อกโซพลาสมา (toxoplasma)
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบ จากเชื้อราคริปโตค็อกคัส (cryptococcal meningitis) ให้ยาฆ่าเชื้อราแอมโฟเทอริซินบี (amphotericin B) หยดเข้าหลอดเลือดดำช้า ๆ นาน 14 วัน แล้วเปลี่ยนเป็นฟลูโคนาโซล (fluconazole) หรือไอทราโคนาโซล เป็นเวลาอย่างน้อย 8 สัปดาห์ หรือจนกระทั่งผลการเพาะเชื้อราในน้ำไขสันหลังให้ผลลบอย่างน้อย 2 ครั้ง ในระยะห่างกันอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เมื่อรักษาขั้นต้นจนหายแล้ว ควรให้กินฟลูโคนาโซล (fluconazole) 200 มก. ไปตลอดชีวิต เพื่อป้องกันการกำเริบซ้ำ
(3) ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี ควรฉีดวัคซีนป้องกันปอดอักเสบจากเชื้อปอดบวม หรือนิวโมค็อกคัส (pneumococcal vaccine) ทุก 5 ปี และฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี (ถ้ายังไม่เคยฉีดมาก่อน)
(4) การเสริมสภาพจิตใจของผู้ป่วย ซึ่งมักจะมีความวิตกกังวล ซึมเศร้า โกรธ รู้สึกไม่มั่นคง ด้วยการให้การปรึกษาแนะแนว ให้กำลังใจ ให้การสังคมสงเคราะห์ตามความจำเป็น รวมทั้งสนับสนุนให้เข้าร่วมกลุ่มมิตรภาพบำบัด หรือกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน (self-help group)
**GPO-vir S30 ประกอบด้วย nevirapine 200 มก. Iamivudine (3TC) 150 มก. และ stavudine (d4T) 30 มก.
***GPO-vir S40 ประกอบด้วย nevirapine 200 มก. Iamivudine (3TC) 150 มก. และ stavudine (d4T) 40 มก.
****การดื้อยา หรือการรักษาไม่ได้ผล มีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
- หลังรักษา 4-8 สัปดาห์แล้วปริมาณเชื้อเอชไอวีในเลือดไม่ลด
- หลังรักษา 4-6 เดือนแล้วยังตรวจพบเชื้อเอชไอวีในเลือด (ยกเว้นก่อนรักษามีปริมาณเชื้อสูง และลดน้อยลงหลังการรักษา ก็ไม่ต้องเปลี่ยนยา)
- ตรวจพบเชื้อครั้งใหม่ หลังจากที่เคยตรวจไม่พบแล้ว
- ปริมาณเชื้อ (HIV-RNA) เพิ่มขึ้น 3 เท่า โดยไม่มีการติดเชื้อหรือฉีดวัคซีน
- ปริมาณ CD4 ลดลงอย่างต่อเนื่อง 2 ครั้ง ติดต่อกัน
- อาการของผู้ป่วยเลวลงกว่าเดิม
หากสงสัย เช่น มีอาการไข้ หรือท้องเดินนานเกิน 1-2 สัปดาห์, น้ำหนักลดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ, มีฝ้าขาวข้างลิ้น, มีต่อมน้ำเหลืองโตหลายแห่ง, มีผื่นขึ้นตามตัวเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นต้น หรือมีความวิตกกังวลว่าจะมีการติดเชื้อเอชไอวีเนื่องจากมีพฤติกรรมเสี่ยง ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี หรือเป็นโรคเอดส์ ควรดูแลรักษาตนเอง ดังนี้
1. สำหรับผู้ติดเชื้อโดยไม่มีอาการ กลุ่มนี้ยังมีสุขภาพแข็งแรงเช่นคนทั่วไป และสามารถดำเนินชีวิตไปตามปกติ บางรายอาจใช้เวลา 5-10 ปีกว่าจะป่วยเป็นเอดส์ บางรายก็ยังคงแข็งแรงดีแม้ติดเชื้อเกิน 10-15 ปีขึ้นไป ผู้ติดเชื้อโดยไม่มีอาการควรปฏิบัติดังนี้
- ไปพบแพทย์และตรวจเลือดเป็นระยะ ๆ ตามที่แพทย์แนะนำ และกินยาต้านไวรัสเมื่อมีค่า CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม. การกินยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่องมักจะช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและยาวนาน ส่วนใหญ่มักจะนานกว่า 10 ปีขึ้นไป หากสงสัยมีอาการข้างเคียงจากยา ควรรีบไปพบแพทย์ก่อนนัด เพื่อปรับเปลี่ยนยา พยายามอย่าให้ขาดยา
- ทำงาน เรียนหนังสือ คบค้าสมาคมกับผู้อื่น และปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ไม่ต้องกังวลว่าจะแพร่เชื้อให้คนอื่นโดยการสัมผัส หรืออยู่ใกล้ชิดกัน หรือหายใจรดผู้อื่น
- หากมีความกังวลเป็นทุกข์ใจ ควรเล่าความในใจให้ญาติสนิทมิตรสหายฟัง หรือขอคำปรึกษาแนะนำจากแพทย์ พยาบาล นักจิตวิทยา หรืออาสาสมัครในองค์กรพัฒนาเอกชน
- เรียนรู้ธรรมชาติของโรค การรักษา การดูแลตนเอง จนมีความเข้าใจโรคนี้เป็นอย่างดี ก็จะไม่มีความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง และมีกำลังใจเข้มแข็ง ซึ่งเป็นอาวุธอันทรงพลังในการบำรุงรักษาสุขภาพให้แข็งแรงต่อไป ผู้ที่เสียกำลังใจอาจเสียสุขภาพทางกาย หรือถูกโรครุมเร้าได้ง่าย
- ส่งเสริมสุขภาพตัวเองด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย (ไม่จำเป็นต้องกินอาหารเสริมราคาแพง) งดแอลกอฮอล์ บุหรี่ สิ่งเสพติด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- เสริมสร้างสุขภาพจิตด้วยการฟังเพลง ร้องเพลง เล่นกีฬา อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ ฝึกสมาธิ เจริญสติ สวดมนต์หรือภาวนาตามลัทธิศาสนาที่นับถือ หมั่นทำความดีและช่วยเหลือผู้อื่น สร้างกุศลกรรม (เช่น ช่วยรณรงค์ในการป้องกันโรคเอดส์ บำเพ็ญประโยชน์ ทำงานอาสาสมัคร เป็นต้น) ถ้ามีโอกาสควรเข้าร่วมกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนในหมู่ผู้ติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจจะแพร่เชื้อให้ผู้อื่น โดย
- งดการบริจาคเลือด หรืออวัยวะต่าง ๆ เช่น ดวงตา ไต เป็นต้น
- เมื่อร่างกายเปรอะเปื้อนเลือดหรือน้ำเหลือง ให้รีบทำความสะอาด และเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที แล้วนำไปแยกซักให้สะอาดและตากให้แห้ง ควรระวังอย่าให้ผู้อื่นสัมผัสถูกเลือดหรือน้ำเหลืองของตัวเอง
- ไม่ใช้ของมีคม (เช่น ใบมีดโกน) ร่วมกับผู้อื่น
- หลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ โดยการคุมกำเนิด เพราะเด็กอาจมีโอกาสรับเชื้อจากมารดาได้
- มารดาที่มีการติดเชื้อ ไม่ควรเลี้ยงบุตรด้วยนมตัวเอง
2. สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นเอดส์ ควรปฏิบัติดังนี้
- ปฏิบัติเช่นเดียวกับผู้ติดเชื้อโดยไม่มีอาการ โดยปรับให้เหมาะกับสภาพของร่างกาย เช่น ทำงานและออกกำลังกายแต่พอเหมาะ
- กินยาและรับการรักษาพยาบาลตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรกินยาต้านไวรัสให้ตรงเวลาทุกวัน อย่าได้ขาด ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อดื้อยา ทำให้มีคุณภาพชีวิตดีเช่นคนปกติทั่วไป
- เมื่อมีโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแทรกซ้อน ควรป้องกันมิให้เชื้อโรคต่าง ๆ แพร่ให้ผู้อื่น เช่น
- ถ้วย ชาม จาน แก้วน้ำที่ใช้แล้ว ควรล้างให้สะอาดด้วยน้ำยาล้างจาน หรือลวกด้วยน้ำร้อน แล้วทิ้งไว้ให้แห้งก่อนนำไปใช้ใหม่
- ควรระมัดระวังมิให้น้ำมูก น้ำลาย น้ำเหลืองจากแผล ปัสสาวะ และสิ่งขับถ่ายต่าง ๆ ไปเปรอะเปื้อนถูกผู้อื่น
- การบ้วนน้ำลายหรือเสมหะ รวมทั้งการทิ้งกระดาษทิชชูที่ใช้แล้ว ควรมีภาชนะใส่ให้เป็นที่เป็นทาง และสามารถนำไปทิ้งหรือทำความสะอาดได้สะดวก
- สามารถใช้ห้องน้ำร่วมกับผู้อื่นได้ แต่ควรระมัดระวังอย่าให้สิ่งขับถ่าย เช่น อุจจาระ ปัสสาวะ เสมหะ อาเจียน เป็นต้น เปรอะเปื้อนพื้นโถส้วม และอ่างล้างมือ ควรล้างทำความสะอาดด้วยผงซักฟอก หรือน้ำยาล้างห้องน้ำที่มีส่วนผสมของคลอรอกซ์ (Chlorox) เป็นประจำ และล้างมือหลังจากการขับถ่ายทุกครั้ง
3. สำหรับญาติหรือผู้ใกล้ชิดผู้ป่วย ควรปฏิบัติ ดังนี้
- ศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเอดส์อย่างถ่องแท้
- ให้กำลังใจ ดูแลผู้ป่วยด้วยความรักและความอบอุ่น เช่น การพูดคุย สัมผัสโอบกอด เป็นต้น และคอยกระตุ้นเตือนให้ผู้ป่วยกินตามคำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาต้านไวรัสให้ตรงเวลาทุกวัน อย่าได้ขาด
- หากผู้ป่วยมีบาดแผล หรือเปรอะเปื้อนเลือดหรือน้ำเหลืองที่ร่างกายหรือเสื้อผ้าของผู้ป่วย ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสถูกโดยตรง ถ้าจะสัมผัสควรสวมถุงมือยาง ถ้าไม่มีอาจใช้ถุงพลาสติกที่ไม่มีรูรั่ว 2-3 ชั้นแทนก็ได้
- เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าปูที่นอนของผู้ป่วยที่ไม่เปื้อนเลือดหรือน้ำเหลือง ไม่ต้องแยกซักต่างหาก แต่ถ้าเปื้อนเลือดหรือน้ำเหลือง ควรใช้ถุงมือยางจับต้อง และนำไปแช่ในน้ำผสมผงฟอกขาวประมาณ 30 นาทีเสียก่อน แล้วจึงนำไปซักด้วยผงซักฟอกตามปกติ
- ทุกคนในบ้านสามารถใช้ห้องน้ำ ห้องส้วมร่วมกับผู้ป่วยได้ แต่ควรทำความสะอาดโดยสวมถุงมือ และใช้น้ำยาล้างห้องน้ำ (ที่มีส่วนผสมของคลอรอกซ์) หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ
- เครื่องครัว ถ้วย จาน ชาม ช้อน ส้อม ไม่จำเป็นต้องแยกใช้ต่างหาก และในการกินอาหารร่วมสำรับกัน ควรใช้ช้อนกลางทุกครั้ง เพื่อสุขอนามัยที่ดี
สำหรับประชาชนทั่วไป
- หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลอื่นที่มิใช่คู่ครอง ควรยึดมั่นต่อการมีเพศสัมพันธ์กับคู่ครอง (รักเดียวใจเดียว)
- ถ้ายังนิยมมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลอื่น โดยเฉพาะหญิงบริการ หรือบุคคลที่มีเพศสัมพันธ์เสรี หรือมีพฤติกรรมเสี่ยงอื่น ๆ ก็ควรจะใช้ถุงยางอนามัยป้องกันทุกครั้ง
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์จนมึนเมา เพราะอาจชักนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย (ประมาท ไม่คิดป้องกันตัวเอง)
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสถูกเลือดของผู้อื่น เช่น ขณะช่วยเหลือผู้ที่มีบาดแผลเลือดออก ควรใส่ถุงมือยาง หรือถุงพลาสติก 2-3 ชั้น ป้องกันอย่าสัมผัสถูกเลือดโดยตรง
- หลีกเลี่ยงการใช้เข็มหรือกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
- หลีกเลี่ยงการใช้ของมีคม (เช่น ใบมีดโกน) ร่วมกับผู้อื่น ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก่อนใช้ควรทำลายเชื้อด้วยการแช่ในน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น แอลกอฮอล์ 70% โพวิโดนไอโอดีน 2.5% ทิงเจอร์ไอโอดีน, ไลซอล 0.5-3% โซเดียมไฮโพคลอไรด์ 0.1-0.5% (หรือน้ำยาคลอรอกซ์ 1 ส่วนผสมน้ำ 9 ส่วนก็ได้) เป็นต้น นาน 10-20 นาที
- ก่อนแต่งงาน ควรปรึกษาแพทย์ในการตรวจเช็กโรคเอดส์ ถ้าพบว่าคนใดคนหนึ่งมีเลือดบวก ควรพิจารณาหาทางป้องกันมิให้ติดให้อีกคนหนึ่ง
- คู่สมรสที่มีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ติดเชื้อ ควรคุมกำเนิด และป้องกันการแพร่เชื้อโดยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
- หญิงตั้งครรภ์ ที่คิดว่าตัวเองหรือคู่สมรสมีพฤติกรรมเสี่ยง ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจเลือดตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ใหม่ ๆ ถ้าพบว่ามีการติดเชื้อ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาต้านไวรัส เพื่อลดการติดเชื้อของทารกในครรภ์ (จากการวิจัยพบว่าสามารถลดการติดเชื้อได้ถึงประมาณ 2 ใน 3)
- มาตรการในระยะยาว คือ การรณรงค์ให้เกิดค่านิยมใหม่และสร้างครอบครัวที่อบอุ่น เพื่อป้องกันไม่ให้มีพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ เช่น การเที่ยวหญิงบริการ การติดยาเสพติด เป็นต้น
สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี จากการปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับการรักษาผู้ป่วย ควรประยุกต์ใช้มาตรการป้องกัน (universal precautions) อย่างเคร่งครัด เช่น การสวมถุงมือ การใช้ผ้าปิดจมูกหรือหน้ากาก การใส่เสื้อคลุม หรือการใช้อุปกรณ์ป้องกันอื่น ๆ เมื่อต้องปฏิบัติงานที่มีโอกาสสัมผัสถูกเลือด น้ำเหลือง สิ่งคัดหลั่ง หรือสิ่งขับถ่ายของผู้ป่วยทุกคน (ไม่ว่าจะสงสัยว่าเป็นผู้ติดเชื้อหรือไม่ก็ตาม)
ในกรณีที่ถูกเข็มที่ใช้กับผู้ป่วยแล้วตำ ซึ่งเป็นอุบัติเหตุที่พบได้บ่อย (ในสหรัฐอเมริกาพบว่าผู้ที่ถูกเข็มที่ใช้กับผู้ที่ติดเชื้อตำ มีโอกาสติดเชื้อประมาณร้อยละ 0.47) ควรรีบตรวจเลือดโดยเร็ว แล้วตรวจซ้ำในระยะ 3 เดือนและ 6 เดือนต่อมา
ถ้าผู้ป่วยมีประวัติการติดเชื้อเอชไอวีชัดเจน หรือตรวจเลือดผู้ป่วยพบว่ามีการติดเชื้อเอชไอวี (เลือดบวก) ควรให้ผู้ที่ถูกเข็มตำกินยาป้องกันโดยเร็วที่สุด (ภายใน 24 ชั่วโมงหลังถูกเข็มตำ) โดยการใช้ยาต้านไวรัส 3 ตัวร่วมกัน (เช่น AZT + 3TC + indinavir) นาน 4 สัปดาห์
การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีของทารกในครรภ์
เมื่อตรวจพบว่าหญิงตั้งครรภ์มีการติดเชื้อเอชไอวี แพทย์จะดำเนินการป้องกันมิให้ทารกในครรภ์ติดเชื้อ ดังนี้
1. ให้ยาต้านไวรัสเอซีที (AZT) แก่หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเมื่ออายุครรภ์ 34 สัปดาห์ โดยให้กินขนาดครั้งละ 300 มก. วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น ก่อนเจ็บท้องคลอด
ในระยะเจ็บท้องคลอดให้กินครั้งละ 300 มก. ทุก 3 ชั่วโมง จนกระทั่งคลอด
2. หลังคลอด ให้ทารกกินเอซีทีชนิดน้ำทันทีหลังคลอด ขนาด 2 มก./กก. ทุก 6 ชั่วโมง นาน 1 สัปดาห์ (ถ้ามารดาได้ยาเอซีทีตั้งแต่ 4 สัปดาห์ขึ้นไป) หรือ 6 สัปดาห์ (ถ้ามารดาได้ยาเอซีทีไม่ครบ 4 สัปดาห์)
1. สมัยก่อนที่จะมีการใช้ยาต้านไวรัส (antiretrovirus/ARV) ในการรักษาโรคนี้ ผู้ป่วยมักมีอาการรุนแรง เกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาส และเสียชีวิตในเวลาไม่นาน (ประมาณ 2-3 ปีหลังการวินิจฉัย) แต่ในปัจจุบันมีการใช้ยาต้านไวรัสร่วมกันตั้งแต่ 3 ชนิดขึ้นไป ดังที่เรียกว่า การใช้ยาต้านไวรัสความแรงสูง (highly active antiretroviral therapy/HAART) สามารถลดอัตราตายลงอย่างมาก และลดการดำเนินโรคจนเป็นเอดส์เต็มขั้นในผู้ติดเชื้อลงได้อย่างมีประสิทธิผล โดยยานี้ช่วยลดจำนวนเชื้อเอชไอวีลง และทำให้ CD4 lymphocyte (ซึ่งบ่งบอกถึงระดับภูมิคุ้มกันของร่างกาย) เพิ่มมากขึ้นจนลดการติดเชื้อฉวยโอกาส ทำให้ผู้ป่วยมีสุขภาพแข็งแรง
ในปัจจุบันจึงถือว่าโรคเอดส์เป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่งที่สามารถให้ยาควบคุมจนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีอายุยืนยาวได้
2. วัคซีนป้องกันโรคเอดส์ ในปัจจุบันยังอยู่ในขั้นศึกษาทดลอง ดังนั้นการป้องกันโรคนี้จึงอยู่ที่การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงเป็นสำคัญ
3. การบริจาคเลือดที่คลังเลือดไม่มีโอกาสจะติดเชื้อเอชไอวี เพราะเจ้าหน้าที่จะใช้อุปกรณ์ชุดใหม่ทุกครั้ง จึงไม่มีโอกาสจะปนเปื้อนเลือดของผู้อื่น
4. การใช้สมุนไพรในการรักษาโรคเอดส์ ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าได้ผลในการทำให้หายได้จริง นอกจากช่วยบรรเทาอาการให้สุขสบาย ช่วยเสริมสร้างกำลังใจ และช่วยให้สุขภาพทั่วไปดีขึ้นชั่วขณะ หากจะใช้สมุนไพรรักษา ควรปรึกษาแพทย์หรือทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและมีความรู้จักมักคุ้น
5. ผู้ที่มีอาการไข้ เจ็บคอ ผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองโตคล้ายไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ แต่ไม่มีอาการเป็นหวัด น้ำมูกไหล หากมีพฤติกรรมเสี่ยงควรตรวจเลือดพิสูจน์ อาจเป็นการติดเชื้อเอชไอวีระยะแรกเริ่มก็ได้ หากพบว่าเป็นจริง การได้รับการดูแลรักษาตั้งแต่แรก รวมทั้งการให้ยาต้านไวรัสมีส่วนช่วยชะลอไม่ให้โรคดำเนินสู่ระยะรุนแรงมากขึ้นได้
บรูเซลโลซิส (brucellosis/undulant fever/Mediterranean fever)* เป็นโรคติดเชื้อร้ายแรงที่เกิดในสัตว์เลี้ยง (เช่น โค กระบือ แพะ แกะ อูฐ หมู) สุนัข สัตว์แทะ สัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม (วาฬ โลมา) สัตว์ป่า (กระบือป่า กระต่ายป่า สุนัขจิ้งจอก สุนัขป่า) ซึ่งสามารถติดต่อมาสู่คนได้
โรคนี้พบได้ประปราย ซึ่งมักพบในกลุ่มคนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง (เช่น คนงานในโรงเลี้ยงสัตว์หรือโรงฆ่าสัตว์ สัตวแพทย์ สัตวบาล) หรือบริโภคเนื้อสัตว์และนมที่ติดเชื้อ
ในบ้านเรามีผู้รายงานผู้ป่วยโรคนี้จากการดื่มนมแพะ และการสัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยง (โดยเฉพาะฟาร์มเลี้ยงแพะ) ในจังหวัดราชบุรี (ปี พ.ศ.2546) สตูล (ปี พ.ศ.2546-2547) และกาญจนบุรี (ปี พ.ศ.2548 และ 2549)
เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า บรูเซลลา (Brucella) ซึ่งมีอยู่หลายสายพันธุ์ย่อย คนเราสามารถติดโรคจากสัตว์ได้หลายทาง ได้แก่
- สัมผัสสิ่งปนเปื้อน น้ำนม เลือด รก น้ำเมือกในอวัยวะเพศของสัตว์เพศเมีย น้ำเมือกตามตัวลูกสัตว์ที่คลอดออกมาใหม่ ๆ มูลหรือปัสสาวะสัตว์ เชื้อโรคจะเข้าทางบาดแผลหรือรอยถลอก
- กินเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ หรือนมสัตว์ (รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ไอศกรีม เนยแข็ง) ที่ติดเชื้อ โดยไม่ได้ปรุงให้สุก หรือผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อ
- หายใจสูดเอาฝุ่นหรือละอองของสิ่งคัดหลั่ง น้ำนมที่ปนเปื้อนเชื้อโรคในขณะรีดนมในคอกสัตว์
- ถูกเข็มฉีดวัคซีนป้องกันโรคแก่สัตว์ทิ่มแทง
ระยะฟักตัว ระบุได้ไม่ค่อยแน่นอน อาจเป็นตั้งแต่ 1 สัปดาห์ จนถึงนานกว่า 2 เดือน (ทั่วไปประมาณ 1-2 เดือน)
มักมีอาการค่อยเป็นค่อยไปแบบเรื้อรังมากกว่าเฉียบพลัน อาการที่พบบ่อย คือ มีไข้สูง ๆ ต่ำ ๆ แบบเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ ไม่แน่นอน (อาจมีไข้ 1-3 สัปดาห์ สลับกับไม่มีไข้ 1-3 วัน) ร่วมกับอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดข้อ ปวดหลัง ปวดเมื่อยตามร่างกายทั่วไป มึนซึม หนาวสั่น เหงื่อออกมาก ไอ เจ็บหน้าอก น้ำหนักลด
ระยะการเจ็บป่วยอาจนานหลายวันหลายเดือน ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจนานเป็นปี หรือนานกว่า
ในรายที่ติดเชื้อทางอาหารการกิน อาจมีอาการคลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องเดิน หรือท้องผูก ปวดหลัง ปวดข้อ
บางรายอาจติดเชื้อโดยไม่แสดงอาการชัดเจนก็ได้

เชื้อบรูเซลลาสามารถเข้ากระแสเลือด แพร่กระจายไปยังอวัยวะแทบทุกส่วน ก่อให้เกิดการอักเสบต่าง ๆ ขึ้น
ที่พบบ่อย คือ การอักเสบของกระดูกและข้อ อาการที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ ข้ออักเสบ (ซึ่งมีลักษณะปวดและบวม ที่บริเวณข้อเข่า สะโพก ข้อเท้า ข้อมือ เพียง 1 ข้อ หรือพร้อมกันหลายข้อ) การอักเสบที่กระดูกบริเวณเชิงกราน (sacroileitis) และข้อสันหลังอักเสบ (spondylitis)
ภาวะแทรกซ้อนอื่น เช่น อัณฑะและท่อนำเชื้ออักเสบ (epididymo-orchitis) สมองและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ปลายประสาทเสื่อม (peripheral neuropathy) ตับอักเสบ ฝีตับ ถุงน้ำดีอักเสบ ปอดอักเสบ ภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด (pleural effusion) เยื่อตาอักเสบ ม่านตาอักเสบ หลอดเลือดอักเสบ (vasculitis) ผื่นที่ผิวหนัง (erythema nodosum) เป็นต้น
ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง และเป็นสาเหตุการตายที่สำคัญ ได้แก่ เยี่อบุหัวใจอักเสบ (endocarditis) ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย มักเกิดกับลิ้นหัวใจเอออร์ติก (aortic valve) และต้องทำการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจอย่างเร่งด่วน
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้
ส่วนใหญ่จะพบมีไข้ ตับโต ม้ามโต บางรายอาจมีอาการกล้ามเนื้อแข็งตึง ต่อมน้ำเหลืองโต ข้ออักเสบ (ข้อบวมและปวด) อัณฑะอักเสบ
ถ้าป่วยนานกว่า 3-6 เดือน จะพบอาการซูบผอมจากการขาดอาหาร
ในรายที่เป็นเรื้อรัง อาจมีเพียงอาการไข้ต่ำ ๆ หรือมีอาการวิตกกังวล ซึมเศร้า นอนไม่หลับ อาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นโรคทางจิตประสาท
แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการทดสอบทางน้ำเหลือง (agglutination test, ELISA) การตรวจด้วยวิธี polymerase chain reaction (PCR) การเพาะเชื้อจากเลือด ไขกระดูก น้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด (pleural fluid) หรือน้ำในข้อ (synovial fluid) การตรวจเลือดมักพบเม็ดเลือดขาวต่ำ (โดยมีสัดส่วนของลิมโฟไซต์สูง) เกล็ดเลือดต่ำ เอนไซม์ตับ (AST, ALT) สูงเล็กน้อย บางรายอาจต้องตรวจชิ้นเนื้อตับ (liver biopsy) เอกซเรย์ปอดและกระดูกสันหลัง
แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้
การรักษา ที่สำคัญคือให้ยาปฏิชีวนะอย่างน้อย 2 ชนิดร่วมกัน เช่น ดอกซีไซคลีน ร่วมกับไรแฟมพิซิน นาน 6 สัปดาห์ ในเด็กและหญิงตั้งครรภ์ให้โคไตรม็อกซาโซลร่วมกับไรแฟมพิซิน หรืออะมิโนโกลโคไซด์ (เช่น เจนตาไมซิน)
ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เยื่อบุหัวใจอักเสบ แพทย์จะรับตัวไว้ในโรงพยาบาลให้ยาปฏิชีวนะร่วมกัน 3-4 ชนิด และให้นานกว่า 6 สัปดาห์
ในรายที่เป็นฝีตับ อาจต้องทำการระบายหนองออก
ในรายที่มีภาวะผิดปกติของลิ้นหัวใจอาจต้องผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ
ผลการรักษา นับว่าได้ผลดี อาการไข้และอาการอื่น ๆ มักจะทุเลาหลังกินยาได้ 4-14 วัน แต่ถ้ากินยาไม่สม่ำเสมอ หรือหยุดยาก่อนกำหนดเวลา ก็อาจมีอาการกำเริบซ้ำได้อีกประมาณร้อยละ 30 โดยทั่วไปแพทย์จะติดตามผลการรักษาเป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี
ในรายที่มีเยื่อบุหัวใจอักเสบร่วมด้วยมักมีอัตราตายค่อนข้างสูง
ในรายที่ไม่ได้รับการรักษา มีอัตราตายโดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 2
หากสงสัย เช่น มีไข้เรื้อรังหรือเป็น ๆ หาย ๆ นานเป็นสัปดาห์ ๆ ร่วมกับน้ำหนักลด ข้ออักเสบ อัณฑะอักเสบ หรือมีไข้ร่วมกับอาการหนาวสั่น หรือมีอาการปวดท้อง ท้องเดิน (หลังกินเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์หรือนมสัตว์ที่ไม่ได้ทำให้สุกหรือทำให้ปลอดเชื้อ) ซึ่งพบในผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีคนหรือสัตว์ป่วยด้วยโรคนี้ ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคบรูเซลโลซิส ควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
- กินยาปฏิชีวนะให้ครบตามระยะที่แพทย์กำหนด (อาจนานถึง 6 สัปดาห์) ถึงแม้อาการดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้โรคกำเริบ
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 4-14 วัน หรือหลังจากทุเลาแล้วกลับมีไข้กำเริบใหม่
- มีอาการปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก ซึมมาก ไม่ค่อยรู้สึกตัว เพ้อคลั่ง หรือชัก
- หายใจหอบ หรือเจ็บหน้าอกมาก
- ข้ออักเสบ หรืออัณฑะอักเสบ
- มีอาการปวดตา ตามัว ตาแดง
- มีไข้ร่วมกับปวดท้อง ตาเหลืองตัวเหลือง
- ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
- ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
1. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคบรูเซลโลซิสในสัตว์เลี้ยง (โค กระบือ แพะ แกะ หมู)
2. ถ้าสงสัยว่าสัตว์เลี้ยงเป็นโรคนี้ เช่น สัตว์ในคอกมีไข้ ซึม เต้านมอักเสบ ข้อขาอักเสบ เยื่อหุ้มข้ออักเสบ อัณฑะอักเสบ ขาหลังเป็นอัมพาต สัตว์แท้งลูกบ่อย ๆ (โรคนี้มีชื่อเรียกว่า โรคแท้งติดต่อในสัตว์) เป็นหมัน ให้น้ำนมน้อยลง เป็นฝีตามที่ต่าง ๆ ลูกที่คลอดออกมาไม่แข็งแรง เป็นต้น ก็ควรปรึกษาสัตวแพทย์ ถ้าเป็นโรคนี้ก็ควรกำจัดทิ้ง
กรณีสัตว์แท้งลูก ควรเก็บลูกสัตว์ที่แท้งและรกส่งตรวจหาสาเหตุของโรค
3. หมั่นตรวจสอบการติดเชื้อในฝูงสัตว์เลี้ยงด้วยการตรวจเลือดและน้ำนม ถ้าพบว่ามีการติดเชื้อ ควรทำการคัดแยกและทำลาย
4. ผู้ที่ทำงานในฟาร์ม (โดยเฉพาะฟาร์มแพะ) ควรป้องกันไม่ให้สัมผัสถูกเชื้อโรคโดยตรง เช่น
- ขณะทำงานควรสวมถุงมือยางชนิดหนาและทนทาน สวมหน้ากากปิดปากและจมูก ใส่ชุดกันเปื้อน
- ระวังอย่าให้เข็มฉีดยาหรือเจาะเลือดทิ่มตำ
- ล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ภายหลังการสัมผัสถูกน้ำมูก น้ำลาย ปัสสาวะ สารคัดหลั่งจากอวัยวะสืบพันธุ์ เลือด น้ำเหลือง มูลสัตว์ รกและลูกสัตว์ที่แท้ง
5. ถ้าถูกเข็มฉีดวัคซีนโรคนี้ทิ่มต่ำเข้าโดยบังเอิญ ควรรีบล้างแผลด้วยน้ำกับสบู่ หรือน้ำยาฆ่าเชื้อทันที และควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้ยาป้องกัน แพทย์จะให้กินดอกซีไซคลีน 100 มก. วันละ 2 ครั้ง ร่วมกับไรแฟมพิซิน 600-900 มก. วันละ 1 ครั้ง นาน 21 วัน
ถ้าวัคซีนบังเอิญเข้าตาควรรีบล้างออก และควรกินยาป้องกันนาน 4-6 สัปดาห์
6. หลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ที่ไม่ได้ปรุงให้สุก และนมหรือผลิตภัณฑ์จากนมที่ไม่ได้ผ่านกรรมวิธีในการฆ่าเชื้อ (พาสเจอร์ไรซ์) การต้ม หรือการทำให้สุกด้วยความร้อนวิธีอื่น ๆ
7. เมื่อมีผู้ป่วยเกิดขึ้น ไม่จำเป็นต้องแยกผู้ป่วย แต่ต้องระวังอย่าสัมผัสถูกหนองและน้ำเหลืองของผู้ป่วย หนองและเลือดของผู้ป่วยที่ติดตามเสื้อผ้าหรือบริเวณต่าง ๆ ต้องผ่านการทำลายเชื้อ
1. โรคนี้ถึงแม้พบได้ไม่บ่อย แต่ถ้าพบผู้ป่วยมีอาการไข้เรื้อรังร่วมกับน้ำหนักลด ข้ออักเสบ อัณฑะอักเสบ หรือการอักเสบของอวัยวะหลายส่วน ก็ควรสงสัยว่าอาจเป็นโรคบรูเซลโลซิส โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ทำงานในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้
นอกจากนี้ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการไม่ชัดเจน คือมีเพียงอาการไข้ต่ำ ๆ เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรังเป็นแรมเดือนแรมปี โดยไม่มีอาการอย่างอื่นชัดเจน อาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นโรคจิตประสาท (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีอาการวิตกกังวล ซึมเศร้า หรือนอนไม่หลับร่วมด้วย)
ดังนั้น ถ้าพบผู้ป่วยมีอาการดังกล่าว อย่าลืมถามประวัติการทำอาชีพที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง (โดยเฉพาะโค กระบือ แพะ หมู) หรือการบริโภคนมวัวหรือนมแพะที่ไม่ได้ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อ หรือเนื้อสัตว์ที่ไม่ได้ปรุงให้สุก
2. โรคนี้ติดต่อจากสัตว์เลี้ยงที่ติดเชื้อ การติดจากคนสู่คนเกิดขึ้นได้น้อยมาก จะติดได้ก็โดยการสัมผัสถูกหนองและน้ำเหลืองของผู้ป่วยเท่านั้น
เมลิออยโดซิส เป็นโรคติดเชื้อรุนแรงที่พบได้ทั้งในคนและสัตว์ พบว่าประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยโรคนี้มากที่สุดในโลก และคาดการณ์ว่ามีผู้ป่วยใหม่เกิดขึ้นปีละ 2,000-3,000 ราย พบได้ทุกภาคของประเทศ แต่พบมากที่สุดทางภาคอีสาน
โรคนี้พบได้ในคนทุกวัย พบมากที่สุดในกลุ่มอายุ 40-60 ปี พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 1.4 เท่า
ผู้ที่เสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อและเป็นโรคนี้ ได้แก่ เกษตรกร และผู้ที่มีอาชีพเกี่ยวข้องกับการสัมผัสดินและน้ำ (เช่น ทหารที่ฝึกซ้อมในภาคสนาม หรือในการทำสงคราม)
ผู้ใหญ่ที่ป่วยเป็นโรคนี้มักมีโรคประจำตัวร่วมด้วย โดยเฉพาะเบาหวาน โรคไตเรื้อรัง รวมทั้งผู้ที่มีประวัติดื่มแอลกอฮอล์จัด หรือใช้สตีรอยด์ติดต่อกันนาน ๆ
โรคนี้พบได้ตลอดปี แต่จะพบมากในช่วงฤดูฝน (เดือนมิถุนายนถึงกันยายน)
โรคนี้อาจแสดงอาการได้หลายลักษณะ ทั้งเฉียบพลัน กึ่งเฉียบพลัน และเรื้อรัง บางครั้งอาจเกิดการติดเชื้อโดยไม่แสดงอาการก็ได้ (ซึ่งเชื้อจะหลบซ่อนอยู่ในร่างกาย ต่อมาภายหลังเมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ ก็จะมีอาการเกิดขึ้นได้)
นอกจากนี้ยังอาจมีอาการคล้ายโรคติดเชื้ออื่น ๆ (รวมทั้งโรคติดเชื้อร้ายแรง เช่น สแตฟีโลค็อกคัสออเรียส) วัณโรค และมะเร็งต่าง ๆ จึงได้ชื่อว่า ยอดนักเลียนแบบ
เกิดจากการติดเชื้อเมลิออยโดซิส ซึ่งเป็นแบคทีเรีย ที่มีชื่อว่า เบอร์คอลเดเรียสูโดมัลเลไอ (Burkholderia pseudomallei) เชื้ออาศัยอยู่ในดินและน้ำ ส่วนใหญ่เชื้อเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังที่มีบาดแผล (เช่น บาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ จากการทำงานในท้องไร่ ท้องนา บาดแผลจากอุบัติเหตุ เช่น รถชน รถคว่ำ บาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก บาดแผลจากสงคราม เป็นต้น) โดยการสัมผัสดินโคลน หรือน้ำที่มีเชื้อโดยตรง
นอกจากนี้ อาจติดต่อทางการหายใจ (เช่น การสูดหายใจเอาเชื้อเข้าปอด การสำลักน้ำเข้าปอดในผู้ป่วยที่จมน้ำ เป็นต้น) ทางการกิน (เช่น การดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ) การติดจากผู้ป่วย (คนสู่คน) โดยตรงซึ่งพบได้น้อย การติดเชื้อในห้องปฏิบัติการ และการติดเชื้อในโรงพยาบาล
เชื้อเมลิออยโดซิส เมื่อเข้าสู่ร่างกายสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อแทบทุกระบบของร่างกาย ซึ่งพบบ่อยที่สุดคือ กระแสเลือด รองลงมาคือ ปอด ผิวหนัง และเนื้อเยื่อตามลำดับ นอกจากนี้ยังพบการติดเชื้อที่ช่องท้อง (ตับ ม้าม ไต ทางเดินปัสสาวะ ลำไส้ ตับอ่อน ต่อมหมวกไต เยื่อบุช่องท้อง) คอหอยและทอนซิล ต่อมน้ำลายพาโรติด ต่อมน้ำเหลือง กล้ามเนื้อ ข้อและกระดูก สมอง เป็นต้น
การติดเชื้อเมลิออยโดซิส แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ การติดเชื้อเฉพาะที่ กับการติดเชื้อในกระแสเลือด (ซึ่งยังแบ่งย่อยเป็นแบบแพร่กระจาย และแบบไม่แพร่กระจาย)
โรคนี้มีอาการแสดงได้หลายลักษณะ
1. ถ้าเป็นแบบเฉียบพลัน มักจะมีไข้สูง หนาวสั่น เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน คล้ายโรคติดเชื้ออื่น ๆ (เช่น มาลาเรีย ไทฟอยด์ สครับไทฟัส เล็ปโตสไปโรซิส) และมักมีอาการของปอดอักเสบ หรือเป็นฝีกระจายไปทั่วปอด คล้ายการติดเชื้อสแตฟีโลค็อกคัสออเรียส (มีอาการไอ เจ็บหน้าอก หายใจหอบ) บางรายอาจมีการติดเชื้อของตับ (ปวดชายโครงขวา ตับโต ดีซ่าน) ม้าม (ปวดชายโครงซ้าย ม้ามโต) ไต (เป็นฝี) ผิวหนัง (ขึ้นเป็นตุ่มนูน ตุ่มหนอง เป็นฝี เป็นต้น) หรืออวัยวะอื่น ๆ ร่วมด้วย
ในรายที่มีการติดเชื้อในกระแสเลือดแบบแพร่กระจาย มักมีการอักเสบของอวัยวะหลายแห่งพร้อมกัน อาการจะเป็นมากขึ้นรวดเร็วภายใน 2-3 วัน จนเกิดภาวะช็อกจากโลหิตเป็นพิษ และเสียชีวิตภายใน 24 ชั่วโมง
ในรายที่มีการติดเชื้อในกระแสเลือดแบบไม่แพร่กระจาย มักจะมีอาการไข้ และอาจมีการติดเชื้อของปอดและอวัยวะอื่นร่วมด้วยเพียง 1-2 แห่ง บางรายอาจไม่พบตำแหน่งติดเชื้อชัดเจน อาการมักจะไม่รุนแรงและมีการเปลี่ยนแปลงช้า โอกาสที่เกิดภาวะช็อกค่อนข้างต่ำ และมีอัตราตายต่ำ แต่บางรายอาจกลายเป็นการติดเชื้อในกระแสเลือดแบบแพร่กระจายในเวลาต่อมาก็ได้
2. ในรายที่มีการติดเชื้อเฉพาะที่ มักจะมีอาการค่อยเป็นค่อยไป เรื้อรังเป็นแรมเดือนแรมปี ผู้ป่วยอาจมีไข้ต่ำหรือไม่มีไข้ก็ได้ มักมีอาการน้ำหนักลด และมีอาการแสดงตามความผิดปกติของอวัยวะที่ติดเชื้อ (อาจเกิดเพียง 1 แห่ง หรือพร้อมกันหลายแห่ง) เช่น
- ปอด มีอาการไอเรื้อรัง น้ำหนักลด คล้ายวัณโรคปอด หรือมะเร็งปอด
- ต่อมน้ำเหลืองที่ข้างคอ มีอาการต่อมน้ำเหลืองข้างคอโตเรื้อรัง (อาจมีอาการปวดและแดงร้อนหรือไม่ก็ได้) คล้ายวัณโรคต่อมน้ำเหลือง หรือมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
- ผิวหนัง มีรอยโรคได้หลายแบบ อาจเริ่มด้วยก้อนนูนขนาด 1-2 ซม. อาจมีอาการเจ็บ แต่ไม่มีอาการแดงร้อน (ทำให้ไม่คิดถึงการอักเสบ) หรืออาจมีอาการของเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบ การติดเชื้อของบาดแผลที่เกิดจากอุบัติเหตุหรือแผลอักเสบ หรือเป็นฝีแล้วแตกออกเป็นแผล (อาจกลายเป็นแผลเรื้อรังเป็นสัปดาห์ ๆ ถึง 10 ปี) รอยโรคที่ผิวหนังอาจเกิดขึ้นพร้อมกันหลายแห่ง และเกิดขึ้นได้ทุกส่วนของผิวกาย บางรายอาจมีภาวะโลหิตเป็นพิษแทรกซ้อนได้
- ตับ เป็นฝี เป็นก้อนบวมคลำได้ที่ใต้ชายโครงขวา
- ม้าม เป็นฝี เป็นก้อนบวมคลำได้ที่ใต้ชายโครงซ้าย
- คอหอยและทอนซิล มีอาการไข้ เจ็บคอ ทอนซิลบวมโต เป็นหนองแบบทอนซิลอักเสบ อาจมีประวัติว่าได้ยารักษาทอนซิลอักเสบมา 1-2 สัปดาห์แล้วยังไม่ดีขึ้น
- กล้ามเนื้อและกระดูก พบกล้ามเนื้ออักเสบเป็นหนอง (pyomyositis) กระดูกอักเสบเป็นหนอง (osteomyelitis) ข้ออักเสบ (ข้อบวมแดงร้อน)
- ทางเดินปัสสาวะ พบทางเดินปัสสาวะอักเสบ ฝีไต ฝีรอบไต (perirenal abscess)
- อื่น ๆ เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ฝีสมอง ก้านสมองอักเสบ (brain stem encephalitis) ฝีลำไส้ เยื่อบุช่องท้องอักเสบ ฝีต่อมหมวกไต ฝีตับอ่อน เป็นต้น
ในเด็ก (อายุต่ำกว่า 14 ปี) มักจะพบต่อมน้ำลายข้างหู (พาโรติด) อักเสบเป็นหนอง (suppurative parotitis) ซึ่งไม่พบในผู้ใหญ่ มักเป็นเพียงข้างเดียว โดยมีอาการไข้ ปวดบวมบริเวณหน้าหูคล้ายคางทูม ก้อนจะบวมแดงมากขึ้นใน 1-2 สัปดาห์ และอาจมีตุ่มหนองขึ้นที่ผิวหนังบริเวณที่บวม หนองไหลออกจากหูข้างเดียวกัน หรือมีหนังตาอักเสบ (periorbital cellulitis) ร่วมด้วย บางรายอาจมีการติดเชื้อในกระแสเลือดร่วมด้วย ซึ่งอาจรุนแรงถึงตายได้
โดยทั่วไป การติดเชื้อเฉพาะที่มักไม่รุนแรง มักไม่เกิดภาวะช็อก และมีอัตราตายต่ำ แต่บางรายปล่อยไว้ไม่รักษา อาจมีการติดเชื้อเข้ากระแสเลือดแบบแพร่กระจายเกิดภาวะช็อก เป็นอันตรายได้
ที่ร้ายแรงและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตก็คือ ภาวะช็อกจากโลหิตเป็นพิษ และภาวะการหายใจล้มเหลว
อาจพบภาวะแทรกซ้อนทางปอด เช่น ภาวะมีหนองในโพรงเยื่อหุ้มปอด ภาวะมีลมในโพรงเยื่อหุ้มปอด
อาจพบภาวะแทรกซ้อนของระบบประสาท เช่น แขนขาอ่อนแรง
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้
ในรายที่เป็นเฉียบพลัน มักมีไข้สูง หายใจหอบ ฟังปอดมีเสียงกรอบแกรบ (crepitation) อาจมีตับโต ม้ามโต (อาจกดเจ็บหรือไม่ก็ได้) ดีซ่าน หรือมีเลือดออกใต้เยื่อบุตา (subconjunctival hemorrhage) อาจพบรอยโรคที่ผิวหนัง (ตุ่มนูน ตุ่มหนอง ฝี)
ในรายที่รุนแรงมักพบภาวะช็อก
ในรายที่เป็นเรื้อรัง อาจมีไข้สูง ไข้ต่ำ ๆ หรือไม่มีไข้ก็ได้ มักมีน้ำหนักลด (ซูบผอม) ภาวะซีด และพบรอยโรคของอวัยวะที่เป็นโรค เช่น ปอด (มีเสียงกรอบแกรบ) ตับโต ม้ามโต ผิวหนัง (ตุ่มนูน ตุ่มหนอง ฝี แผลอักเสบ หรือแผลเรื้อรัง) ต่อมน้ำเหลืองโต ต่อมน้ำลายข้างหูโต (คางทูม) ทอนซิลบวมแดงเป็นหนอง ข้อบวมแดงร้อน เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (คอแข็ง)
แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจพบเชื้อโดยการย้อมหรือเพาะเชื้อจากเลือดหรือสิ่งคัดหลั่ง (เสมหะ ปัสสาวะ หนองจากผิวหนังหรือฝีของอวัยวะต่าง ๆ) อาจทำการทดสอบทางน้ำเหลือง (เช่น indirect hemagglutination test, ELISA) ทำการเอกซเรย์ปอด ตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้อง (ดูฝีในตับ ม้าม ไต) เจาะหลัง (ในรายที่สงสัยมีการติดเชื้อของสมอง) ตรวจเลือดดูการทำงานของตับและไต (AST, ALT, BUN, creatinine) ตรวจปัสสาวะ (ดูการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ) เป็นต้น
แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้
1. ในรายที่เป็นรุนแรง แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล ให้การดูแลตามอาการ เช่น ยาลดไข้ ให้สารน้ำและเกลือแร่ ออกซิเจน ใช้เครื่องช่วยหายใจ ผ่าระบายหนอง เป็นต้น
ที่สำคัญคือต้องให้ยาปฏิชีวนะ ได้แก่ เซฟทาซิไดม์ (ceftazidime) ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ อาจให้เพียงชนิดเดียว หรือให้ร่วมกับโคไตรม็อกซาโซลเข้าหลอดเลือดดำ บางกรณีอาจให้โคอะม็อกซิคลาฟ หรือยาปฏิชีวนะชนิดอื่นแทน
เมื่อดีขึ้นจะให้ยาปฏิชีวนะชนิดกิน แบบเดียวกับที่ใช้รักษาผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรงต่อไปอีก 20 สัปดาห์
2. ในรายที่อาการไม่รุนแรงหรือเป็นเรื้อรัง จะให้ยาปฏิชีวนะชนิดกิน เช่น
- โคไตรม็อกซาโซล ร่วมกับดอกซีไซคลีน
- ในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร เด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี หรือแพ้ยาข้างบน ให้โคอะม็อกซิคลาฟ
ผลการรักษา ขึ้นกับความรุนแรงของโรค ถ้ามีอาการรุนแรงและเพาะเชื้อจากเลือดให้ผลบวก (ภาวะโลหิตเป็นพิษ) มีอัตราตายร้อยละ 40-75
ถ้ามีการติดเชื้อหลายแห่ง แต่เพาะเชื้อจากเลือดให้ผลลบ มีอัตราตายประมาณร้อยละ 20
ถ้ามีการติดเชื้อเฉพาะที่เพียง 1 แห่ง มีอัตราตายต่ำ ส่วนใหญ่มักจะหายเป็นปกติ
ผู้ป่วยต้องกินยานาน 20 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการกลับกำเริบใหม่ พบว่าถ้าให้ยาน้อยกว่า 8 สัปดาห์ มีอัตราการกลับกำเริบใหม่ร้อยละ 23 และผู้ป่วยกลุ่มนี้มีอัตราตายประมาณร้อยละ 27
หากสงสัย เช่น มีไข้สูงร่วมกับอาการหนาวสั่น หรือมีไข้เรื้อรังเป็นสัปดาห์ ๆ ไอเรื้อรัง น้ำหนักลด ต่อมน้ำเหลืองโต แผลเรื้อรัง เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นเมลิออยโดซิส ควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
- กินยาปฏิชีวนะให้ครบตามระยะที่แพทย์กำหนด (อาจนานถึง 20 สัปดาห์) ถึงแม้อาการดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้โรคกำเริบ
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 10 วัน
- มีอาการปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก ซึมมาก ไม่ค่อยรู้สึกตัว เพ้อคลั่ง ชัก หรือแขนขาอ่อนแรง
- หายใจหอบ หรือเจ็บหน้าอกมาก
- ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
- ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการป้องกันโรคนี้อย่างได้ผล
สำหรับพื้นที่ที่มีโรคนี้ชุกชุม ผู้ที่เป็นเบาหวาน โรคไตเรื้อรัง และผู้ที่มีบาดแผลตามร่างกาย อาจลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเมลิออยโดซิส โดยการหลีกเลี่ยงการย่ำน้ำที่ท่วมขังหรือพื้นดินที่ชื้นแฉะ หรือลงแช่น้ำในห้วยหนองคลองบึง ถ้าต้องเดินย่ำน้ำหรือพื้นดินที่ชื้นแฉะ (ตามตรอก ซอย คันนา ท้องนา ท้องไร่) ให้ใส่รองเท้าบู๊ตหรือรองเท้าหุ้มข้อ
อย่างไรก็ตาม ผู้เป็นกลุ่มเสี่ยง (เช่น ผู้ที่เป็นเบาหวาน โรคไตเรื้อรัง ดื่มแอลกอฮอล์จัด หรือใช้สตีรอยด์นาน ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีโรคนี้ชุกชุม) ให้เฝ้าระวังการเกิดโรคนี้ ถ้ามีอาการน่าสงสัยก็ควรรีบปรึกษาแพทย์ให้การรักษาแต่เนิ่น ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้โรคลุกลามและการเกิดภาวะแทรกซ้อน
1. โรคนี้มีอาการคล้ายโรคติดเชื้อหลายชนิด ทุกครั้งที่วินิจฉัยแยกแยะอาการของโรคติดเชื้อ (เช่น ไข้ ไอ รอยโรคที่ผิวหนัง เป็นต้น) ควรคิดถึงโรคนี้ไว้ด้วยเสมอ โดยเฉพาะในผู้ที่อยู่ทางภาคอีสานและมีโรคเบาหวาน โรคไตเรื้อรัง ดื่มแอลกอฮอล์จัด หรือใช้ยาสตีรอยด์มานาน ๆ หรือในกรณีให้การรักษาโรคติดเชื้ออื่น ๆ (เช่น คางทูม ทอนซิลอักเสบ ฝี แผล ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ ข้ออักเสบ เป็นต้น) แล้วไม่ดีขึ้น ก็อาจเกิดจากโรคนี้ก็ได้
ในรายที่มีไข้และไอเรื้อรัง น้ำหนักลด ต้องแยกระหว่างวัณโรคปอดกับเมลิออยโดซิส ถ้าตรวจไม่พบเชื้อวัณโรคในเสมหะ หรือให้ยารักษาวัณโรคแล้วไม่ดีขึ้น ก็อาจเกิดจากเมลิออยโดซิสได้
2. โรคนี้บางครั้งมีอาการคล้ายมะเร็ง คือ น้ำหนักลดรวดเร็ว และมีก้อนบวม (เช่น ต่อมน้ำเหลืองโต คลำได้ก้อนตับหรือม้ามที่ค่อย ๆ โตขึ้น) นานเป็นแรมเดือนแรมปี หากผู้ป่วยมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นเมลิออยโดซิส ก็ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจยืนยัน และถ้าเป็นโรคนี้จริงก็สามารถให้การรักษาให้หายขาดได้
3. ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ จำเป็นต้องรักษาอย่างจริงจังและกินยาต่อเนื่องนาน 20 สัปดาห์ หากกินไม่สม่ำเสมอหรือกินไม่ครบตามกำหนด ก็อาจมีอาการกำเริบใหม่ได้ (มักเกิดภายใน 21 สัปดาห์ หลังหยุดยา บางรายอาจนานถึง 5 ปีกว่า) ผู้ป่วยที่มีอาการกำเริบใหม่อาจเกิดอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
อาจทำให้มีภาวะโลหิตจาง เลือดออกง่าย หัวใจวาย ไตวาย อัมพาต โลหิตเป็นพิษ
แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล ให้ยาปฏิชีวนะตามชนิดของเชื้อที่พบ และรักษาภาวะแทรกซ้อนที่พบร่วม เช่น ภาวะหัวใจวาย ภาวะไตวาย อัมพาต โลหิตจาง เป็นต้น
ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดหรือโรคหัวใจรูมาติก เคยผ่าตัดใส่ลิ้นหัวใจเทียม หรือเคยเป็นโรคนี้มาก่อน ก่อนและหลังการถอนฟันหรือให้แพทย์ตรวจรักษาโดยการสอดใส่เครื่องมือหรือสายสวนในทางเดินหายใจ หรือทางเดินปัสสาวะ แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันมิให้เกิดโรคเยื่อบุหัวใจอักเสบแทรกซ้อน
ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดหรือโรคหัวใจรูมาติก หรือเคยผ่าตัดใส่ลิ้นหัวใจเทียม มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเยื่อบุหัวใจอักเสบ หากมีไข้สูง หนาวสั่น หรือเป็นไข้เรื้อรัง ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว ซึ่งหากได้รับการรักษาแต่เนิ่น ๆ มีโอกาสหายได้
มะเร็ง* เป็นเนื้องอกชนิดร้ายที่กลายมาจากเนื้อเยื่อปกติของร่างกาย มีการเจริญเติบโตและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว อยู่เหนือการควบคุมของร่างกาย และทำลายอวัยวะต่าง ๆ เกิดอาการเจ็บป่วยและภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงต่าง ๆ
เซลล์และเนื้อเยื่อแทบทุกส่วนของร่างกายอาจกลายเป็นมะเร็งได้ แต่ที่พบบ่อย ได้แก่ ตับ ปอด ปาก มดลูก เต้านม ลำไส้ใหญ่ ช่องปาก ผิวหนัง รังไข่ ต่อมลูกหมาก กระเพาะปัสสาวะ กระเพาะอาหาร เม็ดเลือดขาว ต่อมน้ำเหลือง ไทรอยด์
ส่วนใหญ่พบในคนอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป แต่ก็อาจพบในเด็ก และคนหนุ่มสาวได้
ในปัจจุบันมะเร็งเป็นสาเหตุการตายในอันดับแรก ๆ ของคนไทย
เซลล์มะเร็ง คือ เซลล์ปกติของเนื้อเยื่อในร่างกายที่มีความผิดปกติเกิดขึ้นกับสารพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) ในเซลล์ ทำให้กลายพันธุ์เป็นเซลล์ที่มีการแบ่งตัวและแพร่กระจายได้รวดเร็ว
สาเหตุของการเกิดเซลล์มะเร็งยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าเป็นความผิดปกติที่ถ่ายทอดมาจากบิดามารดามาแต่กำเนิด หรือเกิดขึ้นภายหลังจากการได้รับสารก่อมะเร็งหรือสิ่งระคายเคืองเรื้อรัง เกิดการกลายพันธุ์ทีละน้อย จนในที่สุดกลายเป็นเซลล์มะเร็ง ซึ่งอาจใช้เวลานานนับสิบ ๆ ปี นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ทำหน้าที่คอยตรวจสอบและกำจัดเซลล์มะเร็งที่ก่อตัวขึ้น ซึ่งหากบกพร่องก็จะปล่อยให้เซลล์มะเร็งไม่ถูกกำจัดและแบ่งตัวเจริญเติบโตเป็นก้อนมะเร็งในที่สุด
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็ง สามารถแบ่งเป็น 2 พวกใหญ่ ๆ ดังนี้
1. ปัจจัยภายในร่างกาย เช่น
- ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย หากบกพร่อง (เช่น อายุมาก ป่วยเป็นเอดส์) ก็มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นมะเร็ง
- เชื้อชาติ เช่น ชาวญี่ปุ่นเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารมาก ชาวจีนเป็นมะเร็งโพรงหลังจมูก และหลอดอาหารมาก
- เพศ มะเร็งตับ มะเร็งปอด พบมากในผู้ชาย มะเร็งของเต้านม มะเร็งไทรอยด์ พบมากในผู้หญิง
- อายุ มะเร็งส่วนใหญ่เกิดในวัยกลางคนและวัยสูงอายุ แต่บางชนิด เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งสมองบางชนิด มะเร็งลูกตาในเด็ก มะเร็งไตชนิดเนื้องอกวิล์มส์ พบมากในเด็ก มะเร็งกระดูกพบในวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว
- กรรมพันธุ์ มะเร็งเต้านมบางชนิด มะเร็งต่อมไทรอยด์บางชนิด มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับอ่อน มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งรังไข่ มะเร็งผิวหนัง มะเร็งปากมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งอัณฑะ มะเร็งลูกตาในเด็ก พบว่ามีความสัมพันธ์กับกรรมพันธุ์ คือมักมีประวัติว่ามีพ่อแม่พี่น้องเป็นมะเร็งชนิดเดียวกันด้วย
2. ปัจจัยภายนอกร่างกาย ได้แก่
(2.1) ปัจจัยทางกายภาพต่าง ๆ เช่น
- ฟันปลอมที่ไม่กระชับ เวลาเคี้ยวอาหารจะมีการเสียดสีกับเหงือกหรือเพดานปาก นาน ๆเข้าอาจทำให้เกิดมะเร็งของเหงือก หรือเพดานปากได้
- การกินอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มร้อนจัดเป็นประจำ จะมีการระคายเคืองบริเวณหลอดอาหาร นาน ๆ เข้าอาจทำให้เป็นมะเร็งของหลอดอาหารได้
- รังสีต่าง ๆ ถ้าร่างกายได้รับเป็นระยะนาน ๆ ก็อาจเกิดมะเร็งอวัยวะต่าง ๆ ได้
- แสงอัลตราไวโอเลต (แสงแดด) อาจทำให้เป็นมะเร็งของผิวหนังและริมฝีปาก
(2.2) สารเคมี ในปัจจุบันพบสารก่อมะเร็ง (carcinogen) มากกว่า 450 ชนิด อยู่ในรูปของอาหาร พืช สารเคมีต่าง ๆ เช่น
- สารหนู ทำให้เป็นมะเร็งของผิวหนัง
- สารใยหิน (asbestos) ทำให้เกิดมะเร็งปอด มะเร็งไต
- สารนิกเกิล (nickel) ทำให้เกิดมะเร็งปอด มะเร็งโพรงไซนัส
- บุหรี่ มีสารน้ำมันดิน (ทาร์) ซึ่งประกอบด้วยสารในกลุ่มโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน ที่มีชื่อว่า เบนซ์ไพรีน (benzpyrene) ทำให้เกิดมะเร็งปอด กล่องเสียง ช่องปาก ทอนซิล ผิวหนัง เต้านม ปากมดลูก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้ใหญ่ ตับอ่อน ไต กระเพาะปัสสาวะ
- แอลกอฮอล์ ทำให้เกิดมะเร็งตับ หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้ใหญ่ กล่องเสียง ช่องปาก ทอนซิล เต้านม
- สารฟอร์มาลดีไฮด์ (formaldehyde) ทำให้เกิดมะเร็งจมูก มะเร็งโพรงหลังจมูก
- เบนซิน ทำให้เกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาว ตับอ่อน
- การเคี้ยวหมากหรือการจุกยาฉุน นอกจากจะก่อให้เกิดการระคายเรื้อรังแล้วยังมีสารเคมีที่ทำให้เป็นมะเร็งช่องปากได้
- สารไนโตรซามีน (nitrosamine) ในอาหารโปรตีนหมักหรือเนื้อสัตว์หมักเกลือหรือดินประสิวหรือรมควัน ทำให้เกิดมะเร็งตับ กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ตับ โพรงหลังจมูก
- ดีดีที เมื่อเข้าในร่างกาย อาจเปลี่ยนเป็นสารไดไนโตรซามีน ซึ่งมีฤทธิ์เหมือนไนโตรซามีน
- สีย้อมผ้าที่ใช้แต่งสีในอาหารหรือขนม ทำให้เกิดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ทางเดินน้ำดี
(2.3) ฮอร์โมน ฮอร์โมนเอสโทรเจน มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งเต้านม รังไข่ เยื่อบุมดลูก ฮอร์โมนแอนโดรเจน (เทสโทสเทอโรน) มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก
(2.4) การติดเชื้อ เช่น
- การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีหรือซี มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งเซลล์ตับ
- การติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (human papilloma virus/HPV) มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งปากมดลูก ช่องปาก องคชาต
- การติดเชื้อไวรัสเอชทีแอลวี-1 (human T-cell leukemia virus/HTLV-1) มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาว และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
- การติดเชื้อไวรัสอีบีวี (Epstein-Barr virus/EBV) มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดเบอร์กิต (Burkitt’s lymphoma) และมะเร็งโพรงหลังจมูก
- การติดเชื้อเอชไอวี (เอดส์) มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองและมะเร็งหลอดเลือด ที่เรียกว่า Kaposi’s sarcoma (ดูข้อมูล "โรคเอดส์" เพิ่มเติม)
- การติดเชื้อเอชไพโลไร (Helicobacter pylori/H.pylori) มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร
(2.5) สารพิษ เช่น อะฟลาท็อกซิน (aflatoxin) จากเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหาร (ซึ่งไม่ถูกทำลายด้วยความร้อน) ทำให้เกิดมะเร็งเซลล์ตับ (ดูข้อมูล "โรคมะเร็งตับ" เพิ่มเติม)
(2.6) พยาธิ เช่น พยาธิใบไม้ตับ ทำให้เกิดมะเร็งเซลล์ท่อน้ำดี (ดูข้อมูล "โรคมะเร็งตับ" เพิ่มเติม)
(2.7) อาหาร
- ภาวะขาดอาหาร เช่น โรคตับแข็ง ซึ่งเกิดจากการขาดสารโปรตีน จะกลายเป็นมะเร็งตับได้ง่าย
- การบริโภคอาหารพวกเนื้อแดงและไขมันสัตว์มาก ทำให้เกิดมะเร็งลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ตับอ่อน ต่อมลูกหมาก
- การบริโภคเนื้อเค็ม ปลาเค็มหรือหมักเกลือ ทำให้เกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก โพรงหลังจมูก
- การบริโภคเนื้อสัตว์ปิ้งย่าง (ซึ่งมีสารเบนซ์ไพรีน) หรือผักดอง ทำให้เกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร
- การกินผักและผลไม้น้อยมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งปอด หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ปากมดลูก ตับอ่อน
(2.8) ภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งเต้านม รังไข่ เยื่อบุมดลูก กระเพาะอาหาร หลอดอาหาร ลำไส้ใหญ่ ตับอ่อน ต่อมลูกหมาก ไต
ในระยะแรกเริ่มเมื่อเซลล์มะเร็งเริ่มก่อตัวหรือเป็นก้อนเนื้องอกขนาดเล็ก มักจะไม่มีอาการแสดงใด ๆ ผู้ป่วยยังคงแข็งแรงเหมือนคนปกติ ซึ่งกินเวลานานเป็นแรมเดือนแรมปี
ต่อมาเมื่อมะเร็งมีขนาดใหญ่ขึ้น หรือลุกลามมากขึ้น ผู้ป่วยก็จะมีอาการแสดงเฉพาะที่ ซึ่งเกิดจากก้อนมะเร็งโตเป็นก้อนบวมให้เห็นจากภายนอก (ที่ผิวหนัง ช่องปาก ต่อมน้ำเหลือง) ไปกดเบียดหรือทำลายอวัยวะที่เป็นหรือเนื้อเยื่อช่องปากข้างเคียง (ดูรายละเอียดในโรค มะเร็งผิวหนัง มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเยื่อบุมดลูก มะเร็งรังไข่ มะเร็งปอด มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งโพรงหลังจมูก มะเร็งทอนซิล มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้เล็ก มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง มะเร็งตับอ่อน มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งอัณฑะ มะเร็งไต มะเร็งกระดูก มะเร็งลูกตาในเด็ก และข้อมูล “อาการเฉพาะที่ของมะเร็ง” ด้านล่าง)
นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจมีอาการแสดงทั่วไปร่วมด้วย ซึ่งพบร่วมกันในมะเร็งทุกชนิด ได้แก่ อาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุ เบื่ออาหาร น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว อาจมีอาการท้องอืดเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน ซีด เป็นลม ใจหวิวคล้ายหิวข้าวบ่อย หรือมีไข้เรื้อรัง
การแบ่งระยะของโรคมะเร็ง
โดยทั่วไป แบ่งเป็น 4 ระยะ ได้แก่
ระยะที่ 1 เซลล์มะเร็งจำกัดเฉพาะภายในอวัยวะที่เป็นมะเร็ง เช่น
- มะเร็งปากมดลูก จำกัดอยู่เฉพาะภายในปากมดลูก
- มะเร็งปอด จำกัดอยู่ภายในปอด อาจลุกลามถึงหลอดลม หรือเยื่อหุ้มปอดชั้นใน (visceral pleura) แต่ยังไม่ลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลือง
- มะเร็งเต้านม มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางต่ำกว่า 2 ซม. และยังไม่ลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลือง
ระยะที่ 2 เซลล์มะเร็งลุกลามไปยังเนื้อเยื่อโดยรอบ เช่น
- มะเร็งปากมดลูก ลุกลามไปยังเนื้อเยื่อที่อยู่ติดกับปากมดลูก รวมทั้งช่องคลอดส่วนบน แต่ยังไม่ลุกลามเข้าอุ้งเชิงกราน
- มะเร็งปอด ลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณขั้วปอดหรือรอบ ๆ หลอดลม หรือลุกลามไปยังผนังทรวงอก (กระดูกซี่โครง) กะบังลม เยื่อหุ้มปอดชั้นนอก (parietal pleura) หรือเยื่อหุ้มหัวใจชั้นนอก
- มะเร็งเต้านม ลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ข้างเดียวกัน หรือก้อนมะเร็งมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 5 ซม.
ระยะที่ 3 เซลล์มะเร็งแพร่ไปยังเนื้อเยื่อใกล้เคียง เช่น
- มะเร็งปากมดลูก แพร่ไปยังช่องคลอดส่วนล่าง หรือเนื้อเยื่อภายในอุ้งเชิงกราน
- มะเร็งปอด แพร่ไปยังผนังทรวงอก กะบังลม เยื่อหุ้มปอดชั้นนอก เยื่อหุ้มหัวใจชั้นนอก ร่วมกับต่อมน้ำเหลืองบริเวณขั้วปอดหรือรอบ ๆ หลอดลม หรือแพร่ไปยังเนื้อเยื่อภายในประจันอก (mediasternum) หัวใจ ท่อลม หลอดอาหาร หรือกระดูกสันหลัง หรือแพร่ไปยังต่อมน้ำเหลืองที่แอ่งไหปลาร้า หรือประจันอกข้างเดียวกัน ต่อมน้ำเหลืองขั้วปอดหรือประจันอกในทรวงอกข้างตรงข้าม
- มะเร็งเต้านม แพร่ไปยังผนังทรวงอก และ/หรือผิวหนัง (เป็นแผลหรือตุ่มหลายตุ่มบนผิวหนังข้างเดียวกับเต้านมที่เป็นมะเร็ง) หรือพบว่ามีก้อนมะเร็งขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 5 ซม. ร่วมกับการแพร่ไปที่ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ข้างเดียวกัน หรือพบว่ามีต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้มีลักษณะยึดติดกันหลายก้อน หรือยึดติดกับเนื้อเยื่อข้างเคียง หรือมีการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่มีชื่อว่า internal mammary nodes หรือ infraclavicular nodes หรือ lateral supraclavicular nodes
ระยะที่ 4 เซลล์มะเร็งแพร่กระจายผ่านกระแสเลือดไปยังอวัยวะที่อยู่ไกลออกไป เช่น
- มะเร็งปากมดลูก แพร่ไปยังกระเพาะอาหาร ลำไส้ ตับ ปอด กระดูก
- มะเร็งปอด แพร่ไปยังสมอง ไขสันหลัง ตับ กระดูกทั่วร่างกาย
- มะเร็งเต้านม แพร่ไปยังปอด ตับ กระดูก
อาการเฉพาะที่ของมะเร็ง (สัญญาณอันตรายของโรคมะเร็ง)
1. มีตุ่ม ไต ก้อนแข็ง ที่เป็นเรื้อรัง ไม่เจ็บ หรือโตขึ้นเรื่อย ๆ
- ถ้าพบตามผิวหนังทั่วไป เช่น บริเวณใบหน้า หู คอ หน้าอก หลัง แขน มือ เป็นต้น อาจเป็นมะเร็งผิวหนัง
- ถ้าพบเป็นก้อนแข็งขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 1 ซม. ที่ข้างคอ แอ่งไหปลาร้า รักแร้ หรือขาหนีบ อาจเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือมะเร็งส่วนอื่นที่แพร่กระจายมาที่ต่อมน้ำเหลือง
- ถ้าพบก้อนแข็งที่ริมฝีปาก ต่อมไทรอยด์ เต้านม หรืออัณฑะ กระดูก อาจเป็นมะเร็งช่องปาก มะเร็งไทรอยด์ มะเร็งเต้านม หรือมะเร็งอัณฑะ มะเร็งกระดูก
- ถ้าคลำได้ก้อนแข็งในช่องท้องบริเวณใต้ชายโครงขวา อาจเป็นมะเร็งตับ บริเวณใต้ลิ้นปี่หรือเหนือสะดือ อาจเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับอ่อนบริเวณท้องน้อย อาจเป็นมะเร็งรังไข่ มะเร็งเยื่อบุมดลูก มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
2. ถ้าเป็นแผลเรื้อรัง (นานเกิน 2-3 สัปดาห์) ตามผิวหนัง อาจเป็นมะเร็งผิวหนัง ในช่องปาก อาจเป็นมะเร็งช่องปาก
3. หูด ไฝ ปาน แผลเป็น ที่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น สีเปลี่ยน โตเร็ว แตกเป็นแผล มีเลือดออก เป็นต้น อาจเป็นมะเร็งผิวหนัง
4. มีเลือดออก หรือสิ่งไหลออก (discharge) ตามที่ต่าง ๆ
- จ้ำเขียวพรายย้ำตามผิวหนัง อาจเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว
- เลือดกำเดาไหล หรือมีเลือดปนน้ำมูก อาจเป็นมะเร็งจมูก มะเร็งโพรงหลังจมูก มะเร็งเม็ดเลือดขาว
- เลือดออกจากปาก อาจเป็นมะเร็งช่องปาก มะเร็งเม็ดเลือดขาว
- ไอเป็นเลือด หรือมีเลือดปนเสมหะ อาจเป็นมะเร็งปอด
- อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายอุจจาระดำ อาจเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้เล็ก
- ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดสด หรือถ่ายเป็นมูกปนเลือดเรื้อรัง อาจเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
- ถ่ายปัสสาวะเป็นเลือด อาจเป็นมะเร็งไต มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งต่อมลูกหมาก
- เลือดออกทางช่องคลอด หรือมีประจำเดือนกะปริดกะปรอยหรือออกมากกว่าปกติ หรือมีตกขาว อาจเป็นมะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเยื่อบุมดลูก
- เลือดหรือสิ่งไหลออกจากหัวนม อาจเป็นมะเร็งเต้านม
5. ไอเรื้อรัง เกิน 3 สัปดาห์ อาจเป็นมะเร็งปอด
6. เสียงแหบ หรือเจ็บคอเกิน 3 สัปดาห์ อาจเป็นมะเร็งช่องปาก มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งทอนซิล มะเร็งปอด
7. คัดจมูก แน่นจมูกเรื้อรัง อาจเป็นมะเร็งจมูก มะเร็งโพรงหลังจมูก
8. กลืนลำบาก อาจเป็นมะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งช่องปาก มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งปอด
9. เจ็บหน้าอกเรื้อรัง อาจเป็นมะเร็งปอด มะเร็งตับ
10. อาเจียน ปวดท้อง แสบท้อง แน่นท้อง มีลมในท้อง หรือท้องมาน (ท้องบวม) อาจเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งลำไส้เล็ก มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งรังไข่
11. ดีซ่าน (ตาเหลือง ตัวเหลือง) อาจเป็นมะเร็งตับ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งลำไส้เล็ก
12. ถ่ายอุจจาระเป็นแท่งดินสอ ท้องเดินเรื้อรัง ท้องผูกเรื้อรัง หรือท้องเดินสลับท้องผูก อาจเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
13. ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะลำเล็ก หรือไม่พุ่ง เวลารู้สึกปวดปัสสาวะต้องรีบเข้าห้องน้ำทันที อาจเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งรังไข่
14. ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ บ้านหมุน เดินเซ ชัก หรือเห็นภาพซ้อน อาจเป็นมะเร็งสมอง (ดูข้อมูล “โรคเนื้องอกสมอง” ประกอบ)
15. แขนหรือขาชา หรืออ่อนแรง อาจเป็นมะเร็งสมอง (ดูข้อมูล “โรคเนื้องอกสมอง” ประกอบ) มะเร็งไขสันหลัง (ดูข้อมูล “โรคเนื้องอกไขสันหลัง” ประกอบ)
16. ปวดหลังเรื้อรัง อาจเป็นมะเร็งกระดูกสันหลัง มะเร็งรังไข่ มะเร็งตับอ่อน
17. กระดูกบวม ข้อบวม หรือปวดกระดูก อาจเป็นมะเร็งกระดูก
18. ตาดำเห็นเป็นสีขาววาวคล้ายตาแมว อาจเป็นมะเร็งลูกตาในเด็ก

เมื่อมะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะไกลจากตำแหน่งที่เป็น เช่น ไปที่สมอง ปอด ตับ กระดูก ไขสันหลัง ก็จะมีอาการต่าง ๆ ตามอวัยวะที่พบ เช่น หอบเหนื่อย (ปอด) ดีซ่าน (ตับ) ปวดหลัง (กระดูกสันหลัง) ปวดศีรษะ เดินเซ แขนขาชาหรืออ่อนแรงซีกหนึ่ง ชัก (สมอง) แขนหรือขาชาและอ่อนแรงข้างหนึ่ง (ไขสันหลัง) เป็นต้น และระยะสุดท้ายอาจมีอาการเจ็บปวดรุนแรงร่วมด้วย
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ และจากการตรวจพิเศษ เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจอุจจาระ เอกซเรย์ ตรวจอัลตราซาวนด์ ตรวจสแกน (scan) ใช้กล้องส่องตรวจ (scopy) ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ และทำการตรวจทางพยาธิวิทยา ได้แก่ การตรวจหาเซลล์มะเร็ง (cytology) และการตรวจชิ้นเนื้อ (biopsy) ซึ่งเป็นการยืนยันการวินิจฉัยโรคมะเร็งที่แน่ชัด รวมทั้งสามารถระบุชนิดของเซลล์มะเร็งและระยะของโรคซึ่งมีผลการทำนายโรค (ว่ารุนแรงเพียงใด) และการวางแผนการรักษา
ส่วนใหญ่จะใช้วิธีผ่าตัดนำก้อนมะเร็งออกไปให้มากที่สุดเป็นหลัก ยกเว้นในรายที่เป็นระยะท้ายที่มะเร็งแพร่กระจายไปทั่วร่างกายแล้ว ก็อาจไม่ทำผ่าตัดก้อนมะเร็งออก แต่อาจผ่าตัดเพื่อแก้ไขภาวะแทรกซ้อนเพื่อบรรเทาความทุกข์ทรมาน หรือในรายที่เป็นมะเร็งตรงตำแหน่งที่ผ่าตัดไม่ได้ ก็อาจเลือกใช้วิธีอื่นในการรักษา นอกจากการผ่าตัดแล้ว แพทย์อาจเลือกให้การรักษาด้วยวิธีอื่น ได้แก่
- รังสีรักษาหรือรังสีบำบัด (radiation therapy) ได้แก่ การฉายรังสี หรือใส่แร่เรเดียมซึ่งเป็นกัมมันตรังสีตรงบริเวณที่เป็นมะเร็ง เพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง ทำให้ก้อนมะเร็งยุบตัวลงและป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งแพร่กระจาย นิยมใช้ร่วมกับการผ่าตัด บางครั้งอาจใช้เป็นวิธีหลักแทนการผ่าตัด
- เคมีบำบัด (chemotherapy) เพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง ซึ่งมีทั้งยาชนิดฉีดเข้าหลอดเลือด และชนิดกิน มักใช้ร่วมกับการผ่าตัดหรือรังสีรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่เป็นระยะที่เซลล์มะเร็งแพร่กระจายหรือเป็นก้อนโต บางกรณี เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ใช้เป็นวิธีหลักในการรักษาแทนวิธีอื่น เคมีบำบัดอาจมีผลข้างเคียง ทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ผมร่วง เม็ดเลือดขาวต่ำ (ติดเชื้อง่าย) เม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือดต่ำ เป็นต้น ซึ่งจะเป็นอยู่เพียงชั่วคราว เมื่อหยุดยาแล้ว อาการเหล่านี้ก็จะหายไปได้เอง
- การรักษาแบบจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง (targeted therapy) เป็นการให้ยา (มีทั้งชนิดฉีดเข้าหลอดเลือด และชนิดกิน) ไปยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยไปทำปฏิกิริยากับโมเลกุลเป้าหมายจำเพาะ (targeted molecule) ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง (ไม่ใช่กับเซลล์ปกติ) ซึ่งมีอยู่หลายกลุ่ม อาทิ กลุ่มโมโนโคลนอลแอนติบอดี (monoclonal antibody), กลุ่มยาที่มีโมเลกุลเล็ก (small molecules) เป็นต้น สามารถใช้รักษาโรคมะเร็งได้หลายชนิด อาทิ มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งรังไข่ มะเร็งไต มะเร็งศีรษะและลำคอ เป็นต้น ทั้งในระยะแพร่กระจายและไม่แพร่กระจาย
- อิมมูนบำบัด (immunotheraphy) เป็นการให้สารเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายในการต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง เช่น สารภูมิต้านทานกลุ่มโมโนโคลนอลแอนตีบอดี (monoclonal antibody), อินเตอร์เฟอรอน (interferon), อินเตอร์ลิวคิน-2 (interleukin-2), Granulocyte-macrophage colony-stimulating factor (GM-CSF) เป็นต้น
- ฮอร์โมนบำบัด (hormone therapy) คือการใช้ฮอร์โมนในการรักษามะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก
- การปลูกถ่ายไขกระดูก/เซลล์ต้นกำเนิดจากเลือด (bone-marrow/stem cell transplantation) สำหรับมะเร็งเม็ดเลือดขาว
ผลการรักษา ขึ้นกับชนิดของมะเร็ง ระยะความรุนแรงของโรค และสภาพของผู้ป่วย (ความร่วมมือในการรักษา การปฏิบัติตน ความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย กำลังใจ เป็นต้น)
มะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งช่องปาก มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเยื่อบุมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองบางชนิด มะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งโพรงหลังจมูก มะเร็งต่อมไทรอยด์ มะเร็งกระดูก เป็นต้น ถ้าหากได้รับการรักษาตั้งแต่แรกเริ่ม อาจมีชีวิตอยู่ได้นาน หรือหายขาดได้
ส่วนมะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งตับอ่อน มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งรังไข่ มะเร็งไต ซึ่งมักตรวจพบระยะท้ายเมื่อมีอาการชัดเจนแล้ว การรักษามักไม่ได้ผลดี ส่วนใหญ่เป็นการรักษาแบบประทังอาการ (palliative care) เพื่อลดความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมาน ผู้ป่วยมักมีชีวิตโดยเฉลี่ยประมาณ 6-12 เดือน แต่บางรายก็อาจอยู่ได้นานหลายปี
ในปัจจุบัน มีวิธีการรักษามะเร็งและยารักษามะเร็งชนิดใหม่ ๆ ช่วยให้ผู้ป่วยแม้เป็นมะเร็งระยะท้ายสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีชีวิตยืนยาวมากขึ้นกว่าเดิม
หากมีอาการที่น่าสงสัยว่าจะเป็นมะเร็ง ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง ควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
- หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
- ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
- ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
- ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
- ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
- ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
- ขาดยาหรือยาหาย
- ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
การปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันมะเร็ง ได้แก่
- ไม่สูบบุหรี่ ไม่สัมผัสควันบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์จัด รวมทั้งหลีกเลี่ยงการใช้ยาฉุนและหมากพลู
- พยายามรักษาสุขภาพให้แข็งแรง โดยการออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ หาทางผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่าง ๆ
- อย่าอยู่ในที่ที่อากาศไม่บริสุทธิ์หรือมีมลพิษ ถ้าจำเป็นต้องทำงานที่เกี่ยวกับสารก่อมะเร็ง (เช่น สารใยหิน) ควรใช้อุปกรณ์ป้องกัน
- รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- หลีกเลี่ยงการกินอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มที่ร้อน ๆ
- หลีกเลี่ยงการกินอาหารดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ (โดยเฉพาะปลาน้ำจืด) หรืออาหารที่มีเชื้อรา เช่น ถั่วลิสงบด พริกแห้ง หัวหอม กระเทียมที่ขึ้นรา ซึ่งมีสารอะฟลาท็อกซิน (สารนี้ไม่ถูกทำลายด้วยความร้อน)
- หลีกเลี่ยงการกินอาหารโปรตีนหมัก (เช่น ปลาร้า ปลาส้ม หมูส้ม แหนม) หรือเนื้อสัตว์ที่หมักโดยผสมดินประสิว (เช่น กุนเชียง ไส้กรอก แฮม) ถ้าจะกินควรทำให้สุกเพื่อทำลายสารไนโตรซามีนเสียก่อน
- หลีกเลี่ยงการกินอาหารและขนมที่ใส่สีย้อมผ้า (ซึ่งทำให้ดูสีสดใสน่ากิน) และอาหารที่มียาฆ่าแมลงหรือดีดีทีเจือปน
- ลดอาหารที่มีไขมัน (เช่น มันสัตว์ ของทอด ของผัดน้ำมัน อาหารใส่กะทิ) น้ำตาลและของหวาน
- ลดการบริโภคเนื้อแดงหรือเนื้อสัตว์ใหญ่ (เช่น หมู วัว ควาย แกะ) ไม่เกินวันละ 80 กรัม (3 ออนซ์) ควรเลือกกินปลาและสัตว์เล็ก (เช่น เป็ด ไก่) แทน ถ้าเป็นไปได้ควรกินโปรตีนจากถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง (เช่น เต้าหู้ เนื้อเทียม) แทนเนื้อสัตว์ให้มาก ๆ
- อย่ากินเนื้อสัตว์ที่ปรุงจนไหม้ และหลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์และปลาที่ปรุงด้วยวิธีปิ้ง ย่าง รมควัน หรือหมักเกลือ (เช่น เนื้อเค็ม ปลาเค็ม) ควรกินเนื้อสัตว์และปลาที่ปรุงด้วยวิธีอื่น เช่น การนึ่ง การต้ม การอบ การทอดในน้ำ เป็นต้น
- หลีกเลี่ยงการกินผักดอง
- กินผัก (เช่น ผักใบเขียว ผักกะหล่ำ ดอกกะหล่ำ ผักคะน้า บร็อกโคลี เป็นต้น) ผลไม้ (เช่น ฝรั่ง แอปเปิล มะละกอ องุ่น ฟักทอง มะเขือเทศ ส้ม เป็นต้น) เมล็ดธัญพืช (เช่น ข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ ข้าวโพด ข้าวฟ่าง งา ลูกเดือย ถั่วต่าง ๆ เมล็ดทานตะวัน แมงลัก เป็นต้น) หัวพืชต่าง ๆ (เช่น เผือก มัน แครอต หัวไช้เท้า เป็นต้น) และพวกกล้วยให้มาก ๆ ทุกวัน อาหารเหล่านี้จะมีสารที่ช่วยป้องกันมะเร็ง เช่น เส้นใย (fiber) สารฟีนอล (phenol) สารฟลาโวน (flavones) สารฟลาโวนอยด์ (flavonoids) สารไลโคพีน (lycopene) สารแคโรทีน (carotene) วิตามินซี วิตามินอี เป็นต้น
- อย่าอยู่กลางแดดจัด ๆ เป็นเวลานาน ๆ ถ้าจำเป็นต้องออกกลางแดด ควรมีอุปกรณ์ป้องกันมิให้ผิวหนังถูกแดด หรือใช้ยาทากันแดด
- หลีกเลี่ยงการกินยาจีน ยาไทย ที่มีส่วนผสมของสารหนู
1. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นได้ ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี
2. มะเร็งเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ (ไม่ใช่เป็นโรคที่จะหมดทางเยียวยาเสมอไป) โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าตรวจพบและรักษาตั้งแต่ระยะแรกเริ่มที่เป็น หากมีอาการที่น่าสงสัยว่าจะเป็นมะเร็ง ควรปรึกษาแพทย์แต่เนิ่น ๆ หากแพทย์ตรวจแล้วไม่เป็นมะเร็งก็ขอให้สบายใจได้ อย่าได้วิตกกังวลจนเกินเหตุ
3. ถึงแม้จะไม่มีอาการผิดปกติ ก็ควรหมั่นปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจเช็กมะเร็งในระยะแรกเริ่มก่อนปรากฏอาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มะเร็งผิวหนัง มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง มะเร็งอัณฑะ และมะเร็งช่องปาก ซึ่งมีวิธีการตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะแรก และสามารถรักษาให้หายขาดหรือมีชีวิตยืนยาวได้