ในรายที่มีอาการข้ออักเสบ แพทย์จะให้ยาลดข้ออักเสบ เช่น ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ หรือคอลชิซีน ถ้าไม่ได้ผลอาจให้สตีรอยด์
ในรายที่เป็นเกาต์เรื้อรัง แพทย์จะให้คอลชิซีนกินเป็นประจำ เพื่อป้องกันมิให้ข้ออักเสบกำเริบ
ที่สำคัญ ผู้ป่วยจำเป็นต้องกินยาลดกรดยูริก* เป็นประจำ เพื่อควบคุมระดับกรดยูริกในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งมักจะให้เมื่ออาการข้ออักเสบทุเลาแล้ว ยาลดกรดยูริกมีให้เลือกใช้อยู่ 2 ชนิด ได้แก่
- ยาลดการสร้างกรดยูริก เช่น ยาเม็ดอัลโลพูรินอล (allopurinol) ซึ่งแพทย์นิยมใช้ยาชนิดนี้เป็นอันดับแรก ยานี้อาจทำให้เกิดการแพ้รุนแรงได้ (ถ้ากินแล้วมีอาการผื่นคัน หรือพุพองตามตัว ควรหยุดยาทันที) และอาจทำให้ตับอักเสบได้
- ยาขับกรดยูริก เช่น ยาเม็ดโพรเบเนซิด (probenecid) ซึ่งแพทย์จะใช้เมื่อใช้อัลโลพูรินอลไม่ได้ ผู้ป่วยที่กินยานี้ ควรดื่มน้ำประมาณวันละ 3 ลิตร เพื่อป้องกันมิให้เกิดนิ่วไต เนื่องจากการตกตะกอนของกรดยูริก ยานี้ห้ามใช้ในผู้ที่มีนิ่วไตหรือภาวะไตวาย
แพทย์จะให้ผู้ป่วยกินยาลดกรดยูริกเป็นประจำทุกวันไปจนตลอดชีวิต จะช่วยให้สารยูริกที่สะสมตามข้อและอวัยวะต่าง ๆ ละลายหายไปได้ รวมทั้งตุ่มโทฟัสจะยุบหายไปในที่สุด ผู้ป่วยที่ใช้ยาลดกรดยูริกก็ไม่จำเป็นต้องงดอาหารประเภทเนื้อสัตว์และเครื่องในสัตว์อย่างเคร่งครัด สามารถกินอาหารได้ทุกชนิดในปริมาณที่พอเหมาะกับขนาดของยาที่ใช้
ผู้ป่วยจำเป็นต้องไปรับการตรวจหาระดับกรดยูริกในเลือดเป็นระยะ ๆ แม้ว่าจะไม่มีอาการผิดปกติแล้วก็ตาม ทั้งนี้เพื่อติดตามดูว่าระดับกรดยูริกในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่
ผลการรักษา ถ้าได้รับการตรวจรักษาจากแพทย์และรู้จักดูแลตนเองอย่างจริงจังและต่อเนื่อง จะสามารถควบคุมโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อน มีคุณภาพชีวิตที่ดีและอายุยืนยาวได้ แต่ถ้าปล่อยปละละเลยหรือไม่ปฏิบัติตัวตามที่แพทย์แนะนำ ก็มักมีภาวะแทรกซ้อนตามมาในที่สุด มีความยุ่งยากในการดูแลรักษา สูญเสียคุณภาพชีวิต และอาจเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
ข้อควรปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วย
- ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 3 ลิตร เพื่อป้องกันนิ่วไต
- ถ้าอ้วน ควรลดน้ำหนักลงทีละน้อย อย่าลดฮวบฮาบ อาจทำให้มีการสลายตัวของเซลล์รวดเร็ว และมีการสร้างกรดยูริก ทำให้ข้ออักเสบกำเริบได้
- ควรงดแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเบียร์
- ควรระวังอย่าให้ข้อกระดูกได้รับบาดเจ็บ
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่อาจทำให้โรคกำเริบ เช่น แอสไพริน ไทอาไซด์
- หลีกเลี่ยงอาหารที่ให้กรดยูริกสูง เช่น เครื่องในสัตว์ ไข่ปลา ปลาซาร์ดีน ปลาแฮริง หอย กะปิ น้ำสกัดเนื้อ น้ำต้มกระดูก อาหารที่ใส่ยีสต์ (ขนมปัง เบียร์) ชะอม กระถิน ยอดแค ดอกสะเดา สาหร่าย ยอดผัก เป็นต้น
ส่วนอาหารที่ให้กรดยูริกปานกลาง ซึ่งผู้ป่วยควรกินได้ พอประมาณอย่าซ้ำบ่อย เช่น เป็ด ไก่ ปลา เนื้อสัตว์ ถั่ว เห็ด ปลาหมึก ปู หน่อไม้ ดอกกะหล่ำ ผักขม ผักปวยเล้ง สะตอ
อาหารที่ให้ยูริกต่ำซึ่งผู้ป่วยกินได้ไม่จำกัด เช่น ธัญพืช ผลไม้ทุกชนิด ผัก (ที่ไม่ใช่ยอดอ่อน) หัวกะหล่ำ ไข่ เต้าหู้ นมพร่องไขมัน โยเกิร์ต เนย ข้าว แป้ง ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต ช็อกโกแลต ชา กาแฟ
ผู้ป่วยควรสังเกตว่า อาหารประเภทใดกินแล้วสามารถควบคุมกรดยูริกในเลือดได้ดี ก็ให้เลือกกินอาหารประเภทเหล่านั้น อาหารประเภทใดทำให้โรคกำเริบก็ควรหลีกเลี่ยง