1. ระบุอาการเบื้องต้น
  2. ตอบคำถาม
  3. ผลตรวจอาการ
  1. 1
  2. 2
  3. 3

มีอาการถ่ายเป็นน้ำ หรือถ่ายเหลวบ่อยครั้ง
สาเหตุที่พบบ่อย : อาหารเป็นพิษ ท้องเดินจากเชื้อไวรัสโรตา บิดชิเกลลา โรคติดเชื้อไวรัส
ถ้าถ่ายเป็นเลือด/ถ่ายดำ : ดูที่ อาการถ่ายเป็นเลือด/ถ่ายดำ

  • 1.

    เป็นนานเกิน 3 สัปดาห์ หรือเป็นๆ หายๆ บ่อย?

  • 2.

    มีภาวะขาดน้ำรุนแรง (มีอาการตาโบ๋ หนังเหี่ยว (หยิบตั้งอยู่นาน) ปากแห้ง กระหายน้ำ ปัสสาวะออกน้อย ในทารกมีอาการกระหม่อมบุ๋มร่วมด้วย) หรือ ช็อก (มีอาการกระสับกระส่าย เหงื่อออก ตัวซีด ตัวเย็น ลุกนั่งหน้ามืด ความดันต่ำ ชีพจรเบาและเร็ว)?

  • 3.

    หลังกินปลาปักเป้า/ แมงดาถ้วย/ คางคก/ เห็ดป่า/ เนื้อหมูดิบ/ อาหารที่บรรจุภาชนะที่ปิดมิดชิด/ ยาฆ่าแมลง มีอาการหนังตาตก เห็นภาพซ้อน เจ็บปวดตามกล้ามเนื้อมาก กล้ามเนื้ออ่อนแรง น้ำลายฟูมปาก พูดจาอ้อแอ้ หรือ ชาปากและลิ้น?

  • 4.

    ถ่ายเป็นมูก หรือมูกปนเลือด?

  • 5.

    ถ่ายเป็นน้ำหรือถ่ายเหลว อุจจาระมันเป็นฟองลอยน้ำและมีกลิ่นเหม็นจัด?

  • 6.

    ปวดบิดท้องเป็นพักๆ อาเจียน ถ่ายรุนแรง หรือ เป็นพร้อมกันหลายคน?

  • 7.

    มีไข้?

  • 8.

    มีไข้เกิน 7 วัน?

ควรไปพบแพทย์ ภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อตรวจอาการเพิ่มเติม เนื่องจากอาการของคุณข้างต้นอาจเป็นสัญญาณของ มาลาเรีย, ไทฟอยด์/ไข้รากสาดน้อย, เอดส์ หรือโรคอื่น ๆ
หมายเหตุ
ผลตรวจอาการเบื้องต้นดังกล่าว เป็นเพียงอาการ ภาวะ หรือโรคที่พบได้บ่อยเท่านั้น เพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำ และได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ควรเข้ารับการตรวจอาการโดยตรงอีกครั้งจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ณ สถานพยาบาล ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน
มาลาเรีย

มาลาเรีย (ไข้มาลาเรีย ไข้จับสั่น* ไข้ป่า ก็เรียก) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในบ้านเรา มักพบในบริเวณที่เป็นป่าเขา จึงพบได้แทบทุกภาคของประเทศ (ยกเว้นกรุงเทพฯ ในบริเวณที่เป็นตัวจังหวัด ตัวอำเภอ และที่ ๆ เป็นทุ่งนากว้างห่างจากป่าเขา)

เชื้อที่ทำให้เป็นไข้มาลาเรียมีอยู่หลายชนิด แต่ที่สำคัญในบ้านเรามี 2 ชนิด คือ พลาสโมเดียมฟาลซิพารัม (Plasmodium falciparum) กับ พลาสโมเดียมไวแวกซ์ (Plasmodium vivax)

มาลาเรียชนิดฟาลซิพารัม พบได้ประมาณร้อยละ 50-80 มักมีปัญหาดื้อยาและมีภาวะแทรกซ้อนได้มาก (เช่น มาลาเรียขึ้นสมอง ไตวาย) เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

มาลาเรียชนิดไวแวกซ์ พบได้ร้อยละ 20-50 มักไม่ดื้อยา และมีภาวะแทรกซ้อนน้อย เชื้อนี้สามารถหลบซ่อนอยู่ในตับได้นาน ๆ ทำให้มีอาการกำเริบได้บ่อย โดยที่ไม่ต้องได้รับเชื้อใหม่ (จากการถูกยุงก้นปล่องกัด)

มักมีประวัติว่าอยู่ในเขตป่าเขา หรือกลับจากเขตที่มีมาลาเรีย เช่น ชลบุรี จันทบุรี ระยอง ตราด ตากอุทัยธานี กาญจนบุรี ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ยะลา นครนายก ปราจีนบุรี สระบุรี ปากช่อง นครราชสีมา ชัยภูมิ ศรีสะเกษ สกลนคร ขอนแก่น เลย เพชรบูรณ์ แพร่ น่าน เชียงราย แม่ฮ่องสอน เป็นต้น หรือเคยได้รับเลือด หรือเคยเป็นไข้มาลาเรียมาก่อน
 


ยุงก้นปล่อง

 

*ในบ้านเราผู้ที่มีไข้หนาวสั่นมากหรือมีไข้นานหลายวัน เมื่อตรวจร่างกายไม่พบอาการอย่างอื่นชัดเจน หรือพบเพียงตับโตม้ามโต พึงนึกถึงมาลาเรีย ไทฟอยด์ สครับไทฟัส และเล็ปโตสไปโรซิสไว้เสมอ
ไทฟอยด์/ไข้รากสาดน้อย

ไทฟอยด์ (ไข้ไทฟอยด์ ไข้เอนเทอริก ไข้รากสาดน้อย ก็เรียก) พบได้บ่อยมาตั้งแต่สมัยโบราณ ดังที่ชาวบ้านรู้จักกันดีว่า ไข้หัวโกร๋น เพราะสมัยนั้นยังไม่มียารักษา เป็นไข้กันเป็นเดือนจนกระทั่งผมร่วง

 
พบได้ในทุกอายุ แต่จะพบมากในคนอายุ 10-30 ปี อาจพบว่ามีคนในละแวกใกล้เคียงเคยเป็นหรือกำลังเป็นโรคนี้ด้วย พบมากในฤดูร้อน แต่ก็พบได้ตลอดทั้งปี 
 
บางครั้งอาจพบระบาดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในท้องถิ่นที่การสุขาภิบาลยังไม่ดี 
 
ผู้ติดเชื้อบางรายอาจไม่มีอาการแสดง แต่เป็นพาหะแพร่เชื้อให้ผู้อื่น
เอดส์
โรคเอดส์/กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันบกพร่อง (acquired immunodeficiency syndrome/AIDS) เป็นโรคที่เกิดจากไวรัสเอชไอวี (human immunodeficiency virus/HIV) ซึ่งอยู่ในกลุ่ม retrovirus เชื้อนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะเข้าไปเจริญอยู่ในเม็ดเลือดขาวที่มีชื่อว่า "CD4 lymphocyte" (นิยมเรียกย่อ ๆ ว่า CD4)* และทำลายเม็ดเลือดขาวชนิดนี้ จนในที่สุดทำให้ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง เป็นผลทำให้เกิดมะเร็งบางชนิด และโรคติดเชื้อฉวยโอกาส (opportunistic infection ซึ่งเป็นการติดเชื้อรุนแรงจากเชื้อโรคต่าง ๆ ทั้งที่เป็นชนิดที่ก่อโรคในคนปกติทั่วไป และชนิดที่ปกติไม่ทำอันตรายต่อคนที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง)
 
*มีชื่อเรียกอื่น ได้แก่ T4-cell, T4-helper cells, T4-lymphocyte และ CD4 cell มีหน้าที่ในการกำจัดเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม