1. ระบุอาการเบื้องต้น
  2. ตอบคำถาม
  3. ผลตรวจอาการ
  1. 1
  2. 2
  3. 3

มีอาการปวดท้องเป็นครั้งคราวหรือเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรังนานเป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นเดือน ๆ หรือนานเป็นปี
สาเหตุที่พบบ่อย : อาหารไม่ย่อย โรคกรดไหลย้อน กระเพาะอาหารอักเสบ แผลเพ็ปติก ปวดประจำเดือน นิ่วท่อไต นิ่วน้ำดี ถ้าเป็นเรื้อรังในเด็ก อาจมีสาเหตุจากโรคพยาธิไส้เดือน เด็กไม่อยากไปโรงเรียน
ถ้ามีอาการปวดท้องน้อยที่พบในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ ดูที่ อาการปวดท้องน้อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์

  • 1.

    ปวดรุนแรงหรือปวดไม่เหมือนที่เคยเป็น หรือ มีไข้?

  • 2.

    มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

    • เบื่ออาหาร?
    • น้ำหนักลดฮวบ?
    • คลำได้ก้อนในช่องท้อง?
    • กลืนลำบาก หรืออาเจียนบ่อย?
    • อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายอุจจาระดำ?
    • ถ่ายเป็นมูกเลือดนานกว่า 2 สัปดาห์?
    • มีอาการท้องผูกสลับกับท้องเสียนานกว่า 1 เดือน?
    • มีเลือดออกทางช่องคลอดกะปริดกะปรอย?

  • 3.

    ท้องเดิน, ถ่ายเป็นมูกเลือด หรือ ดีซ่าน (มีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง ปัสสาวะเหลืองเหมือนขมิ้น อาจมีอาการคันตามตัว)?

  • 4.

    ปวดบิดเป็นพักๆ?

  • 5.

    ปวดตรงใต้ลิ้นปี่ หรือยอดอก?

  • 6.

    ในเด็ก?

  • 7.

    ทำงานในโรงงานแบตเตอรี่/ผลิตภัณฑ์ที่มีสารตะกั่ว? มีอาชีพที่เกี่ยวข้องกับสารตะกั่ว? หรือ มีประวัติสัมผัสสารตะกั่ว?

  • 8.

    มีความเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า หรือนอนไม่หลับ?

ควรไปพบแพทย์ ภายใน 2-3 วัน เพื่อตรวจอาการเพิ่มเติม เนื่องจากอาการของคุณข้างต้นอาจเป็นสัญญาณของ โรคลำไส้แปรปรวน, โรควิตกกังวล โรคกังวลทั่วไป, โรคอารมณ์แปรปรวน โรคซึมเศร้า หรือโรคอื่น ๆ
หมายเหตุ
ผลตรวจอาการเบื้องต้นดังกล่าว เป็นเพียงอาการ ภาวะ หรือโรคที่พบได้บ่อยเท่านั้น เพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำ และได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ควรเข้ารับการตรวจอาการโดยตรงอีกครั้งจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ณ สถานพยาบาล ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน
ลำไส้แปรปรวน
โรคลำไส้แปรปรวน (lrritable bowel syndrome/IBS)* (กลุ่มอาการลำไส้ไวต่อสิ่งเร้า ไอบีเอส ก็เรียก) เป็นภาวะที่ลำไส้ทำหน้าที่ผิดปกติ โดยไม่มีพยาธิสภาพหรือความผิดปกติของโครงสร้างลำไส้ และโรคทางกายอื่นใด ก่อให้เกิดอาการปวดท้อง มีลมในท้องมาก ร่วมกับท้องเดินหรือท้องผูกแบบเรื้อรัง จัดว่าเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของอาการท้องเดินเรื้อรัง ในกลุ่มประเทศตะวันตกพบโรคนี้ประมาณร้อยละ 10-20 ของคนทั่วไป ส่วนในบ้านเราจากการศึกษาเบื้องต้นพบประมาณร้อยละ 7 ของคนทั่วไป และพบประมาณร้อยละ 10-30 ของผู้ที่มีอาการท้องเดินเรื้อรังที่มาพบปรึกษาแพทย์
 
โรคนี้พบได้ในคนทุกวัย ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยสูงอายุ ส่วนใหญ่มักจะเริ่มมีอาการครั้งแรกตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป พบมากในช่วงอายุ 30-50 ปี และหลังอายุ 60 ปีจะพบน้อยลง พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 1.5-3 เท่า
 
โรคนี้แม้จะมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ เป็นแรมปีหรือตลอดชีวิตก็ไม่มีภาวะแทรกซ้อน หรือกลายเป็นโรคร้ายแรงแต่อย่างใด ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมีสุขภาพแข็งแรงและทำงานได้เป็นปกติ

*แต่เดิมมีชื่อเรียกต่าง ๆ เช่น mucoid colitis, spastic colon, spastic bowel, irritable colon
วิตกกังวล กังวลทั่วไป
โรคกังวลทั่วไป จัดเป็นโรควิตกกังวล* ที่พบได้บ่อยชนิดหนึ่ง ผู้ป่วยจะมีภาวะวิตกกังวลมากเกินกว่าเหตุเกี่ยวกับปัญหาหรือเหตุการณ์ทั่วไปในชีวิตประจำวันพร้อมกันหลายเรื่อง โดยไม่มีสาเหตุจากการเจ็บป่วยอื่น ๆ หรือจากการใช้ยาหรือสารเสพติด และไม่พบว่าเกิดจากสาเหตุจำเพาะอันใดอันหนึ่ง อาการมักเป็นเรื้อรังนานเกิน 6 เดือน และส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
 
โรคนี้พบได้ในคนทุกวัย มักมีอาการเกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่น
 
พบได้ประมาณร้อยละ 3-8 ของประชากรทั่วไปเมื่อติดตามในช่วง 1 ปี
 
พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 2 เท่า
 
* โรควิตกกังวล (anxiety disorders) หมายถึงภาวะวิตกกังวลหรือมีความรู้สึกกลัวอย่างรุนแรงกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดอาการทางกายและใจ กระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน โรคกลุ่มนี้ยังแบ่งออกเป็นชนิดย่อยได้หลายชนิด ดังนี้

1. โรคกังวลทั่วไป (generalized anxiety disorder/GAD) ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกกังวลมากเกินกว่าเหตุในหลาย ๆ เรื่องพร้อมกัน ร่วมกับอาการผิดปกติทางกายต่าง ๆ อย่างเรื้อรัง โดยไม่มีสาเหตุจากการเจ็บป่วยอื่น ๆ และการใช้ยาหรือสารเสพติด และไม่พบว่าเกิดจากสาเหตุจำเพาะอันใดอันหนึ่ง

2. โรคแพนิก (panic disorder) ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกกลัวอย่างรุนแรง โดยไม่มีเหตุกระตุ้นชัดเจน อาการจะเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ แต่กำเริบได้บ่อย (ดู “โรคแพนิก” เพิ่มเติม)

3. โรคกลัว (phobias) ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกกลัวต่อสิ่งหรือสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างมากเกินกว่าเหตุ และไม่กล้าเผชิญกับสิ่งหรือสถานการณ์นั้น ๆ จนกระทบต่อการดำเนินชีวิต อาจมีลักษณะกลัวต่อสิ่งหรือสถานการณ์หนึ่ง ๆ อย่างจำเพาะ (specific phobia) เช่น กลัวสัตว์ต่าง ๆ (สุนัข งู คางคก แมลงสาบ) ที่สูง ที่แคบ ความมืด เชื้อโรค การโดยสารเครื่องบิน การเห็นเลือด การทำฟัน เป็นต้น หรือกลัวการเข้าสังคม (social phobia) เช่น งานเลี้ยงสังสรรค์ การพูดในที่ชุมชน เป็นต้น หรือกลัวการเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่หลบออกได้ยากหรือรู้สึกลำบากใจเมื่อเกิดอาการแพนิก (agoraphobia) เช่น การอยู่ในฝูงชน ที่ชุมนุม หรือห้องประชุม เป็นต้น อาการมักเป็นอยู่นานอย่างน้อย 6 เดือน โรคนี้มักมีอาการเกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงวัยรุ่น

การรักษา ให้ยาทางจิตประสาทร่วมกับการทำจิตบำบัด และพฤติกรรมบำบัด โดยเฉพาะการให้เผชิญกับสิ่งหรือสถานการณ์ที่ผู้ป่วยกลัว (exposure therapy)

4. โรคย้ำคิดย้ำทำ (obsessive-compulsive disorder) ผู้ป่วยจะมีอาการคิดหรือทำอะไรซ้ำ ๆ โดยไม่มีเหตุผล จนมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน เรื่องที่ย้ำคิดมักเป็นเรื่องไร้สาระ น่ากลัว หรือน่ารังเกียจ เช่น ความสกปรก ความรุนแรง การทำร้ายผู้อื่น อุบัติเหตุ เรื่องเพศ ลืมปิดประตู ลืมปิดไฟ เป็นต้น ส่วนอาการย้ำทำจะมีลักษณะทำอะไรซ้ำ ๆ เช่น ล้างมือ จัดสิ่งของให้เป็นระเบียบ นับสิ่งของ นับจังหวะก้าวที่เดิน ตรวจเช็กกลอนประตูหน้าต่าง สวิตช์ไฟหรือเตาแก๊ส เป็นต้น อาการมักเป็นอยู่อย่างน้อย 2 สัปดาห์ โรคนี้มักมีอาการเกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงวัยรุ่นหรือวัยผู้ใหญ่ตอนต้น การรักษาเช่นเดียวกับโรคกลัว

5. โรควิตกกังวลหลังเผชิญเหตุการณ์ร้ายแรง เช่น สงคราม ภัยธรรมชาติ ถูกทำร้ายหรือข่มขืน อุบัติเหตุร้ายแรง เป็นต้น ผู้ป่วยจะมีอาการหวาดผวาอย่างรุนแรง มีความรู้สึกสิ้นหวัง คิดและฝันซ้ำ ๆ รวมทั้งลืมเหตุการณ์นั้น ๆ ผู้ป่วยมักมีอาการนอนไม่หลับ ตื่นเต้นตกใจง่าย อารมณ์แปรปรวน ขาดสมาธิ ความจำแย่ลง บางรายอาจมีประสาทหลอนร่วมด้วย ถ้ามีอาการเกิดขึ้นภายหลังเผชิญเหตุการณ์ภายใน 4 สัปดาห์ และมีอาการอยู่ไม่เกิน 1 เดือน แล้วทุเลาไปเอง เรียกว่า “Acute stress disorder” ซึ่งเป็นภาวะที่เป็นเพียงชั่วคราว แต่ถ้ามีอาการเรื้อรังนานเกิน 1 เดือน เรียกว่า “Post- traumatic stress disorder” ซึ่งอาจเกิดอาการภายหลังเหตุการณ์ 1 สัปดาห์ หรือหลายปีต่อมา อาการมักเรื้อรังหรือเป็น ๆ หาย ๆ เมื่อถูกกระตุ้นให้คิดถึงเหตุการณ์นั้น ๆ ผู้ป่วยมักจะมีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงการเห็นหรือคิดถึงเหตุการณ์นั้น ๆ การรักษาเช่นเดียวกับโรคกลัว

6. โรควิตกกังวลจากการพลัดพรากจากพ่อแม่หรือคนรัก มักพบกับเด็กอายุ 7-8 ปี ที่ต้องแยกจากพ่อแม่คนที่รักและผูกพันหรือคิดไปล่วงหน้าถึงเรื่องนี้ ทำให้เกิดภาวะวิตกกังวลอย่างรุนแรง ขัดขวางพัฒนาการของเด็กในการเรียนรู้ การเข้าสังคม หน้าที่การงาน ผู้ป่วยจะมีอาการกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อพ่อแม่ (เช่น อุบัติเหตุ ถูกทำร้าย ถูกลักพาตัวไป) และไม่ยอมแยกจากพ่อแม่เวลาเข้านอนหรือไปโรงเรียน อาจมีอาการฝันร้ายเกี่ยวกับการพลัดพราก เมื่อต้องแยกจากพ่อแม่หรือคิดไปล่วงหน้าว่าจะต้องแยกจากกัน เด็กอาจมีอาการปวดศีรษะ ปวดท้อง เด็กทีเป็นโรคนี้อาจมีโรควิตกกังวลชนิดอื่น (เช่น โรคกลัว) ร่วมด้วย การรักษาเช่นเดียวกับโรคกลัว

7. โรควิตกกังวลจากโรคทางกาย เช่น ศีรษะได้รับบาดเจ็บ โรคติดเชื้อของสมอง เนื้องอกสมอง โรคของหูชั้นใน โรคหัวใจวาย หัวใจเต้นผิดจังหวะ ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงเกิน ภาวะโลหิตจาง เป็นต้น

8. โรควิตกกังวลจากแอลกอฮอล์ สารเสพติด และยา (เช่น กาเฟอีน แอมเฟตามีน โคเคน เอฟีดรีน ทีโอฟิลลีน ยาลดน้ำหนักบางชนิด ยาแก้ซึมเศร้าบางชนิด) และจากการถอนยากล่อมประสาท

9. โรควิตกกังวลจากความเครียดหรือปัญหาชีวิต เช่น ปัญหาครอบครัว การหย่าร้าง ปัญหาการเงิน ภาวะหนี้สิน ปัญหาการทำงาน หรือความสัมพันธ์กับผู้อื่น ปัญหาสุขภาพหรือการเจ็บป่วย เป็นต้น อาจทำให้เกิดอาการวิตกกังวล ซึ่งจะทุเลาเมื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ การรักษา ควรค้นหาสาเหตุและแก้ไข อาจให้ยากล่อมประสาทควบคุมอาการ
อารมณ์แปรปรวน ซึมเศร้า
โรคซึมเศร้า (โรคซึมเศร้าหลัก) จัดเป็นโรคอารมณ์แปรปรวน* ที่พบได้บ่อยชนิดหนึ่ง ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกซึมเศร้าหดหู่อย่างรุนแรงกว่าปกติ เรื้อรังนานเกิน 2 สัปดาห์ และมักมีความคิดอยากตาย ส่งผลให้มีอาการผิดปกติทางกาย ใจ และพฤติกรรมต่าง ๆ กระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน และมีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย
 
โรคซึมเศร้าพบได้ในคนทุกวัย อายุเฉลี่ยเมื่อเริ่มมีอาการครั้งแรกประมาณ 40 ปี
 
พบได้ประมาณร้อยละ 3 ของประชากรทั่วไป ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง (current prevalence) หรือร้อยละ 5-18 ของประชากรทั่วไปเมื่อติดตามไปชั่วชีวิต (lifetime prevalence)
 
พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 2 เท่า
 
 
*โรคอารมณ์แปรปรวน (mood disorders) เป็นภาวะผิดปกติทางอารมณ์ ผู้ป่วยจะมีอารมณ์ซึมเศร้าหดหู่อย่างรุนแรงกว่าปกติ บางครั้งอาจมีอารมณ์ดีมากผิดปกติสลับกับอารมณ์ซึมเศร้า โรคกลุ่มนี้แบ่งออกเป็นชนิดย่อยได้หลายชนิด ดังนี้  
 
1. โรคซึมเศร้าหลัก (major depressive disorder/MDD) นิยมเรียกสั้น ๆ ว่า โรคซึมเศร้า เป็นโรคอารมณ์แปรปรวนที่พบได้บ่อย และมีความรุนแรงกว่าชนิดอื่น ๆ 

2. โรคซึมเศร้าชนิดอ่อน (dysthymic disorder) เป็นภาวะซึมเศร้าที่มีอาการไม่รุนแรง แต่เรื้อรัง (นานอย่างน้อย 2 ปี) ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้ปกติ เพียงแต่มีศักยภาพลดลง พบในเด็กโตและวัยรุ่น ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาแก้ซึมเศร้า แต่บางรายอาจกลายเป็นโรคซึมเศร้าหลักในเวลาต่อมาได้ 

3. โรคอารมณ์สองขั้ว (bipolar disorder หรือ manic-depressive disorder) เป็นความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ มักพบเป็นครั้งแรกในช่วงอายุ 15-24 ปี ผู้ป่วยจะมีระยะฟุ้งพล่าน (mania) สลับกับระยะซึมเศร้า เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง ในระยะฟุ้งพล่าน ผู้ป่วยจะอารมณ์ดี ครื้นเครง ความคิดแล่นเร็ว มีความเชื่อมั่นในตนเองสูงหรือหลงตัวเอง พูดมาก หงุดหงิดง่าย ทำกิจกรรมหลายอย่างมากกว่าปกติ นอนน้อย การรักษาในยาลิเทียม (lithium) ควบคุมอาการ 

4. ภาวะซึมเศร้าที่เกิดจากโรคทางกาย เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานน้อยหรือมากเกิน โรคคุชชิง โรคแอดดิสัน พาร์กินสัน เอสแอลดี เอดส์ เป็นต้น โรคเหล่านี้อาจมีภาวะซึมเศร้าร่วมด้วย หญิงหลังคลอดบางรายก็อาจมีภาวะซึมเศร้าเกิดขึ้นชั่วคราวได้ 

5. ภาวะซึมเศร้าจากแอลกอฮอล์ สารเสพติด และยา เช่น รีเซอร์ฟีน เมทิลโดพา โพรพราโนลอล สตีรอยด์ ยาแก้ชัก ยานอนหลับ เมโทโคลพาไมด์ อินโดเมทาซิน เลโวโดพา ยารักษามะเร็งบางชนิด เป็นต้น 

6. ภาวะซึมเศร้าจากความเครียดหรือปัญหาชีวิต เช่น การหย่าร้าง การสูญเสียคนรัก ความล้มเหลว ปัญหาสุขภาพ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเจ็บป่วยร้ายแรง หรือเรื้อรัง) เป็นต้น มักจะมีอาการไม่รุนแรง และค่อย ๆ ดีขึ้นในเวลาไม่นาน แต่บางครั้งผู้ป่วยโรคซึมเศร้าหลักก็อาจมีความเครียดหรือปัญหาชีวิตกระตุ้นให้กำเริบก็ได้ ซึ่งจะเป็นรุนแรงและเรื้อรัง