- ระบุอาการเบื้องต้น
- ตอบคำถาม
- ผลตรวจอาการ
- 1
- 2
- 3
มีอาการปวดท้อง จุกแน่น ท้องอืดท้องเฟ้อ หรือปวดบิดเป็นพักๆ ในท้อง อาจเป็นเฉพาะที่หรือเป็นทั่วทั้งท้องก็ได้
สาเหตุที่พบบ่อย : อาหารไม่ย่อย โรคกรดไหลย้อน แผลเพ็ปติก ท้องเดิน ปวดประจำเดือน นิ่วท่อไต นิ่วน้ำดี ไส้ติ่งอักเสบ

- 1.
ปวดท้องน้อย (ระดับใต้สะดือลงมา) ในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์?
- 2.
ปวดแบบเดียวกับที่เคยเป็นมาก่อน? หรือ ปวดท้องเป็นครั้งคราวหรือเป็นๆ หายๆ เรื้อรังนานเป็นสัปดาห์ๆ หรือเดือนๆ หรือนานเป็นแรมปี?
- 3.
มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
- ปวดรุนแรง?
- หน้าท้องเกร็งแข็ง?
- ปวดติดต่อกันนานเกิน 6 ชั่วโมง?
- เหงื่อออก หน้าซีด ตัวเย็น และลุกนั่งหน้ามืดจะเป็นลม?
- ความดันต่ำและชีพจรเบาเร็ว?
- 4.
กดเจ็บตรงท้องน้อยข้างขวา?
- 5.
ปวดตรงใต้ลิ้นปี่? และ มีประวัติเป็นโรคกระเพาะ/กินยาแก้ปวดหรือยาชุดมานาน?
- 6.
ได้รับบาดเจ็บที่ท้อง?
- 7.
กดเจ็บทั่วทั้งท้อง?
- 8.
อาเจียนรุนแรง?
- 9.
ในทารกแรกเกิดที่กินกล้วย?

หมายเหตุ
ผลตรวจอาการเบื้องต้นดังกล่าว เป็นเพียงอาการ ภาวะ หรือโรคที่พบได้บ่อยเท่านั้น เพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำ และได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ควรเข้ารับการตรวจอาการโดยตรงอีกครั้งจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ณ สถานพยาบาล ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน
หลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง
เป็นภาวะที่ผนังหลอดเลือดบางส่วนมีความอ่อนแอ ถูกแรงดันเลือดดันให้โป่งออกคล้ายลูกโป่ง พบมากในกลุ่มอายุ 50-80 ปี และพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง 2-3 เท่า
ผนังหลอดเลือดส่วนที่โป่งพอง ส่วนใหญ่มักเกิดในส่วนที่อยู่ในช่องท้องในระดับที่ต่ำกว่าจุดแยกของหลอดเลือดแดงไต (renal artery) เรียกว่า "หลอดเลือดแดงใหญ่ส่วนท้องโป่งพอง (abdominal aortic aneurysm)" ส่วนน้อยเกิดในส่วนที่อยู่ในช่องอกใกล้หัวใจ เรียกว่า "หลอดเลือดแดงใหญ่ส่วนอกโป่งพอง (thoracic aortic aneurysm)"
.jpg)
ภาวะเลือดเซาะผนังหลอดเลือดแดงใหญ่
เป็นภาวะที่ผนังชั้นในของหลอดเลือดแดงใหญ่มีรอยปริเป็นรูรั่ว ทำให้เลือดไหลออกไปเซาะให้ผนังชั้นในแยกออกจากผนังชั้นกลางเป็นแนวยาว ถ้ารอยปริของหลอดเลือดเกิดตรงจุดใกล้หัวใจ เรียกว่า "ชนิดเอ (A)" ถ้ารอยปริของหลอดเลือดเกิดตรงจุดที่อยู่ต่ำกว่าจุดแยกของหลอดเลือดแดงใต้กระดูกไหปลาร้า (subclavian artery) เรียกว่า "ชนิดบี (B)"
โรคนี้จัดว่ามีอันตรายร้ายแรง พบมากในกลุ่มอายุ 40-70 ปี
