แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้
1. ขณะที่มีอาการปวดกำเริบเฉียบพลัน ให้การรักษาเพื่อบรรเทาปวดด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- ให้ออกซิเจนบริสุทธิ์ (100%) โดยการใช้หน้ากากครอบจมูกและปาก ด้วยอัตรา 6-8 ลิตร/นาที ทันทีที่เริ่มปวด จะช่วยให้ทุเลาได้ภายใน 15 นาที เป็นวิธีที่ได้ผลดีและปลอดภัย
- ฉีดซูมาทริปแทน (sumatriptan) 6 มก. เข้าใต้ผิวหนัง หรือฉีดไดไฮโดรเออร์โกตามีน (dihydroergotamine) 1-2 มก. เข้ากล้ามหรือหลอดเลือดดำ ยา 2 ชนิดนี้มีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดแดงตีบตัว ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ หรือโรคหัวใจและหลอดเลือด และไม่ควรใช้ยา 2 ชนิดนี้ร่วมกัน
- ใช้ซอลมิทริปแทนชนิดพ่นเข้าจมูก (zolmitriptan nasal spray)
- บางรายแพทย์อาจจะใช้ยาชาชนิดพ่นเข้าจมูก (lidocaine nasal spray)
ในการรักษาโรคนี้ แพทย์จะใช้ยาฉีดหรือยาพ่นจมูก ไม่ใช้ยาแก้ปวดชนิดกิน เนื่องจากโรคนี้มีอาการปวดรุนแรงและเฉียบพลัน การกินยาแก้ปวดใช้ไม่ได้ผลเพราะออกฤทธิ์ช้า
2. ในรายที่มีอาการปวดทุกวัน แพทย์จะให้ยากินป้องกันไม่ให้ปวดซ้ำซาก ยาที่นิยมใช้เป็นตัวแรก ได้แก่ เวราพามิล (verapamil ซึ่งเป็นกลุ่มยาต้านแคลเซียม ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง) ข้อดีคือ ยานี้สามารถใช้ร่วมกับยาตัวอื่น และเหมาะกับการใช้กินป้องกันระยะยาวในผู้ที่มีอาการเรื้อรังนาน ๆ อาจมีผลข้างเคียง เช่น ท้องผูก เท้าบวม ความดันโลหิตต่ำ
สำหรับผู้ป่วยที่เพิ่งเป็น มีอาการปวดไม่บ่อยและมีช่วงปลอดจากอาการนาน แพทย์จะให้กินยาสตีรอยด์ (เช่น ยาเม็ดเพร็ดนิโซโลน) ยานี้เหมาะสำหรับใช้ในช่วงสั้น ๆ เพราะหากใช้ติดต่อกันนาน ๆ อาจเกิดผลข้างเคียงมากมาย และอาจเป็นอันตรายได้ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ต้อกระจก ภูมิคุ้มกันต่ำ (ติดเชื้อง่ายและรุนแรง) บวม โรคคุชชิง เป็นต้น
ถ้าใช้ยาดังกล่าวข้างต้นไม่ได้ผล แพทย์อาจให้กินลิเทียมคาร์บอเนต (lithium carbonate) ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาโรคอารมณ์สองขั้ว เหมาะสำหรับการกินป้องกันระยะยาวในผู้ที่มีอาการเรื้อรังนาน ๆ อาจมีผลข้างเคียง เช่น กระหายน้ำ ท้องเดิน มือสั่น ไตเสื่อม เป็นต้น
บางรายแพทย์อาจให้ยารักษาโรคลมชัก เช่น โทพิราเมต (topiramate), ไดวาลโพรเอต (divalproate) เป็นต้น
บางรายแพทย์อาจใช้เวราพามิลร่วมกับลิเทียม ซึ่งช่วยให้ได้ผลมากขึ้น
นอกจากนี้ แพทย์อาจใช้วิธีที่ไม่ใช้ยา เช่น การใช้อุปกรณ์ส่งกระแสไฟฟ้ากระตุ้นประสาทเวกัสผ่านทางผิวหนังที่บริเวณข้างคอ (vagus nerve stimulation/VNS), การฉีดยาชาระงับความรู้สึกที่ท้ายทอย (occipital nerve block ซึ่งมักใช้ร่วมกับการให้กินยาเวราพามิล)
3. ผู้ป่วยจำนวนน้อยที่แพทย์อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด มักเป็นผู้ป่วยที่มีอาการปวดเรื้อรังที่ใช้ยาหรือรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ ไม่ได้ผล หรือไม่สามารถใช้ยาได้ เนื่องจากมีผลข้างเคียงหรือข้อห้ามในการใช้ยา
การผ่าตัดมีอยู่หลายวิธี เช่น การใช้ความร้อนจากคลื่นวิทยุหรือรังสีแกมมาทำลายเส้นประสาทสมองเส้นที่ 5 (percutaneous radiofrequency ablation หรือ gamma knife radiosurgery), การผ่าตัดฝังขั้วไฟฟ้า (electrodes) กระตุ้นเส้นประสาทบริเวณท้ายทอย (occipital nerve stimulation) หรือปมประสาทสะฟีโนพาลาไทน์ (sphenopalatine ganglion stimulation), การผ่าตัดฝังขั้วไฟฟ้า (electrode) ไว้ในสมองส่วนไฮโพทาลามัส (deep brain stimulation) เป็นต้น