แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้
1. ขณะที่มีอาการกำเริบ ให้ยาบรรเทาปวด ได้แก่ ยาแก้ปวด-พาราเซตามอล หรือยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ ในรายที่กินยาแล้วไม่ทุเลาหรือปวดมาก อาจให้ยารักษาไมเกรนชนิดอื่นแทน เช่น ยากลุ่มเออร์โกทามีน (นิยมผสมกับกาเฟอีน)
ถ้ามีอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน คลื่นไส้หรืออาเจียน หรืออาการคล้ายเมารถเมาเรือ ให้ยาแก้เมารถเมาเรือหรือแก้อาเจียน เช่น ไดเมนไฮดริเนต, ไดเฟนไฮดรามีน
ข้อสำคัญ การให้ยาบรรเทาอาการ ต้องรีบกระทำทันทีเมื่อเริ่มรู้สึกมีอาการจึงจะได้ผลดี และควรแนะนำให้ผู้ป่วยนั่งหรือนอนพักในห้องมืดและเงียบ ๆ
2. ถ้าปวดรุนแรง ปวดติดต่อกันนานเกิน 72 ชั่วโมง แขนขาอ่อนแรงหรือหมดสติ ตามืดมัวหรือเห็นภาพซ้อน หรือสงสัยเกิดจากสาเหตุร้ายแรงอื่น ๆ (เช่น ต้อหินเฉียบพลัน หลอดเลือดแดงขมับอักเสบ โรคหลอดเลือดสมองแตก ศีรษะได้รับบาดเจ็บ/เลือดออกในสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น) แพทย์อาจจำเป็นต้องทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด เจาะหลัง ถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
ถ้าตรวจพบว่าเป็นไมเกรน ก็จะให้ยารักษาไมเกรนสำหรับชนิดปวดรุนแรง ได้แก่ ซูมาทริปแทน (sumatriptan)* กินขนาด 50-100 มก. ครั้งเดียว ส่วนใหญ่อาการปวดมักจะทุเลาภายใน 4 ชั่วโมงหลังให้ยา ในกรณีที่มีอาการปวดไมเกรนนานเกิน 72 ชั่วโมง (ซึ่งพบได้น้อย) แพทย์อาจต้องให้ยานี้ซ้ำหลายครั้ง (แต่ไม่ควรเกิน 300 มก./24 ชั่วโมง) ร่วมกับยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์
ในกรณีที่มีอาการแขนขาอ่อนแรงหรือหมดสติ (เป็นอาการแสดงของไมเกรนชนิดรุนแรง ซึ่งพบได้น้อยมาก) แพทย์อาจรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล และให้การรักษาแบบประคับประคอง อาการจะเป็นอยู่ชั่วคราว และหายได้เอง
3. ในรายที่มีอาการมากกว่าเดือนละ 3 ครั้ง แพทย์อาจให้ยาป้องกัน (ดูที่หัวข้อ "การป้องกัน" ด้านล่าง) ถ้าใช้ยาไม่ได้ผล หรือมีอาการปวดแทบทุกวัน (มากกว่า 15 วัน/เดือน) ซึ่งถือว่าเป็นไมเกรนเรื้อรัง แพทย์จะตรวจหาสาเหตุและแก้ไขตามสาเหตุที่พบ (เช่น ภาวะซึมเศร้า, การใช้ยาแก้ปวดพร่ำเพรื่อมากไป เป็นต้น)