นอกจากแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยแล้ว แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้
1. ให้ยารักษาวัณโรคหลายชนิดร่วมกัน สำหรับผู้ป่วยใหม่ (เพิ่งรักษาเป็นครั้งแรก) นิยมใช้สูตรยา 6 เดือน โดย 2 เดือนแรกให้ยา 4 ชนิด ได้แก่ ไอเอ็นเอช ไรแฟมพิซิน ไฟราซินาไมด์ และอีแทมบูทอล บางกรณีอาจใช้สเตรปโตไมซินฉีดแทนอีแทมบูทอล แล้วต่อด้วยยา 2 ชนิด อีก 4 เดือน ได้แก่ ไอเอ็นเอชกับไรแฟมพิซิน
2. ให้การรักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ แก้ไอ ยาบำรุงโลหิตถ้าซีด วิตามินรวมถ้าเบื่ออาหาร เป็นต้น
3. โดยทั่วไปเมื่อใช้ยาได้ผลอาการจะดีขึ้นภายใน 2-4 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม แพทย์จะทำการตรวจเสมหะเพื่อติดตามผลการรักษา เมื่อกินยาครบ 2 เดือน 5 เดือน และเมื่อสิ้นสุดการรักษา (6 เดือน หรือ 9 เดือน แล้วแต่กรณี) บางกรณีอาจตรวจเสมหะทุกเดือนก็ได้
ส่วนการเอกซเรย์ปอดมักให้ตรวจเมื่อกินยาครบ 2 เดือน และเมื่อสิ้นสุดการรักษา
4. ถ้ามีภาวะแทรกซ้อน เช่น ไอออกมาเป็นเลือดปริมาณมาก หายใจหอบเหนื่อย มีภาวะมีน้ำหรือลมในโพรงเยื่อหุ้มปอด มีภาวะขาดอาหารรุนแรง เป็นต้น อาจต้องรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาลจนกว่าจะดีขึ้น
5. ถ้าสงสัยเป็นเอดส์ร่วมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยง ควรเจาะเลือดตรวจหาเชื้อเอชไอวี
สำหรับผู้ป่วยวัณโรคปอดที่เป็นเอดส์และกินยาต้านไวรัสเอดส์อยู่ ซึ่งมีข้อควรระวังในการใช้ยาไรแฟมพิซิน จะใช้สูตรยา 9 เดือน โดย 2 เดือนแรกให้ยา 4 ชนิด ได้แก่ ไอเอ็นเอช อีแทมบูทอล สเตรปโตไมซิน และไพราซินาไมด์ และอีก 7 เดือนต่อมาให้ยา 3 ชนิด ได้แก่ ไอเอ็นเอช สเตรปโตไมซิน และไพราซินาไมด์ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง
ผลการรักษา ถ้าได้รับยารักษาวัณโรคครบ และดูแลตนเองอย่างจริงจังได้ตามที่แพทย์แนะนำ ก็มักจะหายเป็นปกติได้ส่วนใหญ่ แต่ถ้ากินยาไม่ได้ขนาด หรือกิน ๆ ขาด ๆ ได้ไม่ครบระยะที่แพทย์กำหนด หรือร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันต่ำ หรือได้รับเชื้อชนิดที่ดื้อต่อยา ก็อาจเป็นเรื้อรัง หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้