1. ระบุอาการเบื้องต้น
  2. ตอบคำถาม
  3. ผลตรวจอาการ
  1. 1
  2. 2
  3. 3

มีอาการบวมเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย หรือมีก้อนเกิดขึ้นที่บริเวณใดบริเวณหนึ่งของร่างกาย หรือมีอาการบวมที่ขาข้างเดียว
สาเหตุที่พบบ่อย :  1.ริมฝีปากบวม : แพ้ยาหรือแพ้อาหาร  2.ก้อนที่เต้านม : เนื้องอกเต้านม มะเร็งเต้านม ฝีเต้านม 3.ต่อมน้ำเหลืองโต : ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ 4.ผิวหนัง : ฝี เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบ ฟกช้ำ ลมพิษ ก้อนไขมันหรือถุงน้ำ (ซิสต์) 
ถ้าหนังตาบวม : ดู อาการหนังตาบวม ถ้าคางบวมหรือคอบวม : ดู อาการคางบวม/คอบวม
ถ้าข้อบวม : ดู อาการปวดข้อ/ปวดเอ็น  ถ้าคอพอก/ต่อมไทรอยด์โต : ดู อาการคอพอก/ต่อมไทรอยด์โต
ถ้าอัณฑะบวม/ไข่ดันบวม : ดู อาการอัณฑะบวม/ไข่ดันบวม/มีก้อนที่ขาหนีบ

  • 1.

    มีรอยบวมที่แขนขา หรือตามร่างกาย หลังจากได้รับบาดเจ็บ?

  • 2.

    มีก้อนบวมออกร้อนและปวดเกิดขึ้นฉับพลันตามแขนขาหรือข้อ? และ มีประวัติเลือดออกง่าย-หยุดยากมาตั้งแต่เล็ก/เป็นโรคฮีโมฟิเลีย?

  • 3.

    บวมที่ขาข้างเดียวหรือที่แขนข้างเดียว?

  • 4.

    ริมฝีปากบวม?

  • 5.

    ก้อนที่เต้านม?

  • 6.

    ก้อนของต่อมน้ำเหลือง (ต่อมน้ำเหลืองโต)?

  • 7.

    มีก้อนโตพร้อมกันมากกว่า 1 แห่ง ในบริเวณที่ไม่ติดต่อกัน? มีไข้นานกว่า 1 สัปดาห์? มีเลือดออกหรือมีจ้ำเขียวขึ้น?

ควรไปพบแพทย์ ภายใน 2-3 วัน เพื่อตรวจอาการเพิ่มเติม เนื่องจากอาการของคุณข้างต้นอาจเป็นสัญญาณของ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง, มะเร็งเม็ดเลือดขาว, เอดส์, บรูเซลโลซิส หรือโรคอื่น ๆ
หมายเหตุ
ผลตรวจอาการเบื้องต้นดังกล่าว เป็นเพียงอาการ ภาวะ หรือโรคที่พบได้บ่อยเท่านั้น เพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำ และได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ควรเข้ารับการตรวจอาการโดยตรงอีกครั้งจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ณ สถานพยาบาล ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นมะเร็งของเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์* ซึ่งเกิดขึ้นที่ระบบน้ำเหลือง (lymph system) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย หลัก ๆ ประกอบด้วยต่อมไทมัส ม้าม ไขกระดูก และต่อมน้ำเหลือง (ซึ่งมีกระจายอยู่ทั่วร่างกาย ตามคอ รักแร้ ข้อพับแขน ข้อพับขา ช่องอก ช่องท้อง และอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย) มะเร็งต่อมน้ำเหลืองจึงอาจเริ่มเกิดขึ้นได้ที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณใดบริเวณหนึ่ง หรืออวัยวะอันใดอันหนึ่ง เช่น กระเพาะ ลำไส้ ทอนซิล ตับ ตับอ่อน ปอด สมอง ไขสันหลัง

โดยภาพรวม โรคนี้พบได้มากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น พบมากสุดในช่วงอายุ 60-70  ปี พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเล็กน้อย ในบ้านเรามะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 5 ในผู้ชาย และอันดับ 9 ในผู้หญิง

เนื่องจากลิมโฟไชต์มีอยู่หลายชนิดย่อย มะเร็งต่อมน้ำเหลืองจึงมีอยู่หลายชนิดย่อย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่

1. มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน (Hodgkin lymphoma/HL) พบได้ในคนทุกวัย แต่จะพบบ่อยในช่วงอายุ 15-30 ปี และมากกว่า 55 ปี มะเร็งชนิดนี้จะตรวจพบเซลล์ผิดปกติที่เรียกว่า "เซลล์รีดสเทิร์นเบิร์ก (Reed-Sternberg cells)" ที่ต่อมน้ำเหลือง (ซึ่งจะไม่พบในโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน) ในปัจจุบันมะเร็งชนิดนี้พบว่ามีอยู่ 6 ชนิดย่อยด้วยกัน ส่วนใหญ่จะเริ่มเกิดอาการขึ้นที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณส่วนบนของร่างกาย เช่น คอ ทรวงอก รักแร้

2. มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน (non-Hodgkin lymphoma/NHL) พบได้มากกว่าชนิดฮอดจ์กิน (พบประมาณร้อยละ 85-90 ของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองทั้งหมด) และมีการแพร่กระจายได้เร็ว พบได้ในคนทุกวัย และพบมากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น มักพบบ่อยในคนอายุมากกว่า 60 ปี ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ และผู้ป่วยที่ผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ ในปัจจุบันมะเร็งชนิดนี้พบว่ามีอยู่กว่า 60 ชนิดย่อยด้วยกัน มะเร็งชนิดนี้สามารถเริ่มเกิดอาการขึ้นที่ต่อมน้ำเหลืองส่วนใดของร่างกายก็ได้ และส่วนใหญ่เกิดจากการกลายพันธุ์ของลิมโฟไซต์ชนิดบี (B lymphocyte)

นอกจากนี้ เมื่อแบ่งตามการเจริญของมะเร็ง มะเร็งชนิดนอนฮอดจ์กินนี้ยังแบ่งเป็น 2 ชนิดย่อย ได้แก่ ชนิดค่อยเป็นค่อยไป หรือ indolent (ซึ่งมีอัตราการแบ่งตัวของมะเร็งค่อนข้างช้า แต่มักจะรักษาได้ไม่หายขาด) กับชนิดรุนแรง หรือ aggressive (ซึ่งมีอัตราการแบ่งตัวของมะเร็งเร็ว ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจเสียชีวิตได้ภายใน 6 เดือน-2 ปี แต่ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องมีโอกาสที่จะหายขาดได้)

อย่างไรก็ตาม มะเร็งต่อมน้ำเหลืองทุกชนิดมีอาการและวิธีรักษาคล้ายคลึงกัน ส่วนผลการรักษาจะแตกต่างกัน ขึ้นกับชนิดของมะเร็ง ระยะของโรค สภาพของผู้ป่วย และการตอบสนองต่อการรักษา
 
* ลิมโฟไซต์ (lymphocyte) เป็นเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม แบ่งเป็นชนิดบีกับชนิดที
 
ลิมโฟไซต์ชนิดบี (B lymphocyte) ทำหน้าที่สร้างสารภูมิต้านทาน (antibody) คือ อิมมูโนโกลบูลิน (immunoglobulin) จำเพาะต่อเชื้อโรคชนิดหนึ่ง ๆ ซึ่งไหลเวียนอยู่ในเลือดและสารน้ำทั่วร่างกาย (เรียกว่า humoral immunity)
 
ลิมโฟไซต์ชนิดที (T lymphocyte) ทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของลิมโฟไซต์ชนิดบี โดย helper T cell สร้างสารลิมโฟไคน์ (lymphokines) ในการควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และทำลายเชื้อโรคโดยตรงโดย killer (cytotoxic) T cell (เรียกว่า cell mediated Immunity)   
มะเร็งเม็ดเลือดขาว
มะเร็งเม็ดเลือดขาว (ลิวคีเมีย ก็เรียก) หมายถึง มะเร็งที่เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาววัยอ่อนในไขกระดูกมีการเจริญแบ่งตัวเร็วกว่าปกติ และกลายเป็นเซลล์ผิดปกติ (ไม่สามารถเจริญเป็นเม็ดเลือดขาวตัวแก่ที่ทำหน้าที่แบบเม็ดเลือดขาวปกติ และมีการแก่ตัวและเซลล์ตายช้ากว่าปกติ) สามารถแพร่กระจายแทรกซึมไปอยู่ตามอวัยวะต่าง ๆ เช่น ต่อมน้ำเหลือง ตับ ม้าม กระดูก สมอง อัณฑะ ผิวหนัง รวมทั้งแทรกซึมในไขกระดูก ทำลายกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือดในไขกระดูก ก่อให้เกิดอาการและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ จนเป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้
 
มะเร็งเม็ดเลือดขาวมีอยู่หลายชนิด โดยหลัก ๆ แบ่งเป็น ชนิดเฉียบพลัน ซึ่งเกิดจากเซลล์วัยอ่อน (blast cell) มีอาการเกิดขึ้นฉับพลัน ลุกลามรวดเร็วและรุนแรง และชนิดเรื้อรัง ซึ่งเกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เริ่มเป็นตัวแก่ ลุกลามช้า และมีอาการแบบค่อยเป็นค่อยไป
 
หากแบ่งตามชนิดของเซลล์ต้นกำเนิดของโรค สามารถแบ่งเป็นเซลล์ที่จะเจริญเป็นเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ (lymphocyte) และเซลล์ที่จะเจริญเป็นเม็ดเลือดขาวชนิดอื่น รวมทั้งเม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือด (myeloid cell/myelocyte)
 
มะเร็งเม็ดเลือดขาวจึงแบ่งเป็น 4 ชนิดใหญ่ ๆ  ได้แก่ acute lymphocytic (lymphoblastic) leukemia (ALL), acute myelogenous (myeloblastic) leukemia (AML), chronic lymphocytic leukemia (CLL) และ chronic myelocytic (myelogenous) leukemia (CML)
 
ทุกชนิดพบได้ในคนทุกวัย แต่อาจพบมากในเด็กหรือผู้ใหญ่แตกต่างกันดังนี้
  • ชนิด ALL พบมากในเด็กอายุ 2-5 ปี (พบได้ถึงร้อยละ 80 ของมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก) อาจพบในผู้ใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งอายุมากกว่า 65 ปี
  • ชนิด AML เป็นมะเร็งเม็ดเลือดที่พบได้มากที่สุด พบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก
  • ชนิด CLL พบบ่อยในผู้ใหญ่ และมีความชุกของโรคมากขึ้นตามอายุ พบมากในกลุ่มอายุมากกว่า 60 ปี
  • ชนิด CML เป็นชนิดที่พบได้น้อย พบบ่อยในผู้ใหญ่อายุ 40-60 ปี พบได้น้อยในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี
เอดส์
โรคเอดส์/กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันบกพร่อง (acquired immunodeficiency syndrome/AIDS) เป็นโรคที่เกิดจากไวรัสเอชไอวี (human immunodeficiency virus/HIV) ซึ่งอยู่ในกลุ่ม retrovirus เชื้อนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะเข้าไปเจริญอยู่ในเม็ดเลือดขาวที่มีชื่อว่า "CD4 lymphocyte" (นิยมเรียกย่อ ๆ ว่า CD4)* และทำลายเม็ดเลือดขาวชนิดนี้ จนในที่สุดทำให้ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง เป็นผลทำให้เกิดมะเร็งบางชนิด และโรคติดเชื้อฉวยโอกาส (opportunistic infection ซึ่งเป็นการติดเชื้อรุนแรงจากเชื้อโรคต่าง ๆ ทั้งที่เป็นชนิดที่ก่อโรคในคนปกติทั่วไป และชนิดที่ปกติไม่ทำอันตรายต่อคนที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง)
 
*มีชื่อเรียกอื่น ได้แก่ T4-cell, T4-helper cells, T4-lymphocyte และ CD4 cell มีหน้าที่ในการกำจัดเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม
บรูเซลโลซิส

บรูเซลโลซิส (brucellosis/undulant fever/Mediterranean fever)* เป็นโรคติดเชื้อร้ายแรงที่เกิดในสัตว์เลี้ยง (เช่น โค กระบือ แพะ แกะ อูฐ หมู) สุนัข สัตว์แทะ สัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม (วาฬ โลมา) สัตว์ป่า (กระบือป่า กระต่ายป่า สุนัขจิ้งจอก สุนัขป่า) ซึ่งสามารถติดต่อมาสู่คนได้

โรคนี้พบได้ประปราย ซึ่งมักพบในกลุ่มคนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง (เช่น คนงานในโรงเลี้ยงสัตว์หรือโรงฆ่าสัตว์ สัตวแพทย์ สัตวบาล) หรือบริโภคเนื้อสัตว์และนมที่ติดเชื้อ

ในบ้านเรามีผู้รายงานผู้ป่วยโรคนี้จากการดื่มนมแพะ และการสัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยง (โดยเฉพาะฟาร์มเลี้ยงแพะ) ในจังหวัดราชบุรี (ปี พ.ศ.2546) สตูล (ปี พ.ศ.2546-2547) และกาญจนบุรี (ปี พ.ศ.2548 และ 2549)
 

* โรคนี้มีความร้ายแรง มีการนำเชื้อบลูเซลลาไปผลิตเป็นอาวุธชีวภาพ เช่นเดียวกับแอนแทรกซ์