
ยังไม่ทราบแน่ชัด พบว่าอาจมีประวัติมีคนในครอบครัวเป็นด้วย ผู้ที่เป็นความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดหัวใจ และผู้ที่มีความอ้วน หรือสูบบุหรี่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้มากขึ้น
โรคนี้แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่
- จุดภาพชัดเสื่อมชนิดแห้ง (dry/atrophic macular degeneration) ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้เป็นส่วนใหญ่ มักเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป พบว่าเซลล์ประสาทมีการฝ่อตัวหายไปโดยไม่มีรอยแผลเป็นหรือเลือดออก
- จุดภาพชัดเสื่อมชนิดเปียก (wet/neovascular/exudative macular degeneration) มักเกิดขึ้นฉับพลันและรุนแรง พบว่ามีหลอดเลือดผิดปกติในผนังลูกตาชั้นกลาง (คอรอยด์) บริเวณใต้จุดภาพชัด ต่อมาเกิดการรั่วซึมของเลือดหรือสารน้ำออกจากหลอดเลือดเหล่านี้ทำให้เซลล์ประสาทจอตาเสื่อม
ผู้ป่วยที่เป็นจุดภาพชัดเสื่อมชนิดเปียกส่วนใหญ่ มักมีจุดภาพชัดเสื่อมชนิดแห้งนำมาก่อน
จุดภาพชัดเสื่อมชนิดแห้ง มักมีอาการตามัวหรือสายตาผิดปกติ ค่อย ๆ เกิดมากขึ้นอย่างช้า ๆ เช่น ผู้ป่วยอาจสังเกตว่า เวลาอ่านหนังสือหรือทำงานที่ประณีต หรือต้องมองใกล้ ๆ จำเป็นต้องอาศัยแสงที่สว่างมากขึ้น อ่านตัวหนังสือได้ไม่ชัดขึ้นเรื่อย ๆ สายตาไม่ดีเมื่ออยู่ในที่สลัว มองเห็นสีได้ไม่ชัดเจน (สีจางหรือมืดมัวกว่าปกติ) จำหน้าคนไม่ได้ สายตาพร่ามัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ตรงกลางของลานสายตามีลักษณะพร่ามัวหรือเป็นจุดบอด เป็นต้น
จุดภาพชัดเสื่อมชนิดเปียก มักเกิดขึ้นฉับพลันและรุนแรงขึ้นรวดเร็ว ด้วยอาการมองเห็นภาพผิดปกติ (เช่น มองเห็นเส้นตรงเป็นคลื่น หรือเป็นเส้นคด มองเห็นป้ายสัญญาณจราจรผิดเพี้ยนไป มองเห็นวัตถุมีขนาดเล็กลงกว่าปกติ หรืออยู่ห่างกว่าปกติ) ตรงกลางของลานสายตามีลักษณะพร่ามัวหรือเป็นจุดบอด
อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นที่ตาข้างหนึ่งก่อน ซึ่งผู้ป่วยอาจไม่ทันสังเกตหรือไม่รู้สึกว่าผิดปกติ เนื่องจากตาอีกข้างยังดีอยู่ ต่อมาเมื่อเป็นทั้ง 2 ข้าง ผู้ป่วยจึงจะสังเกตเห็นความผิดปกติได้ชัดเจน
สายตาพร่ามัวบริเวณตรงกลางของลานสายตา อาจทำให้สูญเสียคุณภาพชีวิต และเกิดภาวะซึมเศร้า
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและการตรวจวัดสายตามักพบว่าผิดปกติ ในรายที่เป็นรุนแรงอาจพบสายตาลดลงได้ถึง 20/200 (ภาพที่คนปกติเห็นได้ชัดในระยะ 200 ฟุตนั้น ผู้ป่วยจะเห็นชัดที่ 20 ฟุต) หรือลดลงมากกว่านี้
แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการใช้เครื่องส่องตรวจตา (ophthalmoscopy) ถ่ายภาพรังสีจอตาด้วยการฉีดสี (fluorescein angiography)
แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้
ถ้าเป็นจุดภาพชัดเสื่อมชนิดแห้งแบบเล็กน้อยหรือรุนแรง ไม่มีการรักษาโดยจำเพาะ ถ้าเป็นแบบปานกลาง แพทย์อาจพิจารณาให้สารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี วิตามินอี บีตาแคโรทีน สังกะสี ทองแดง เพื่อชะลออาการ
ถ้าเป็นจุดภาพชัดเสื่อมชนิดเปียก อาจให้การรักษาด้วยแสงเลเซอร์ ซึ่งมีอยู่หลายวิธี (เช่น thermal laser, photodynamic therapy, transpupillary thermotherapy) เพื่อทำลายหลอดเลือดที่ผิดปกติไม่ให้อาการลุกลามมากขึ้น
ผลการรักษา ขึ้นกับชนิด ตำแหน่ง และความรุนแรงของโรค ถ้าเป็นชนิดเปียกที่เริ่มเป็นระยะแรก (พบว่าเริ่มมีหลอดเลือดผิดปกติในผนังลูกตาชั้นกลาง) ก็มักจะได้ผลดี แต่ถ้าเซลล์ประสาทบริเวณจุดภาพชัดเสื่อมทั้งหมดแล้ว ก็ยากที่จะแก้ไขให้ดีขึ้นได้
ในรายที่สายตาพิการมาก อาจต้องใช้อุปกรณ์ช่วย เช่น แว่นขยาย แว่นตาอ่านหนังสือ กล้องส่องทางไกล เป็นต้น
หากสงสัย เช่น มีอาการตามัวหรือสายตาผิดปกติ เวลาอ่านหนังสือ หรือทำงานที่ประณีต หรือต้องมองใกล้ ๆ จำเป็นต้องอาศัยแสงที่สว่างมากขึ้น มองเห็นสีได้ไม่ชัดเจน จำหน้าคนไม่ได้ ตรงกลางของลานสายตามีลักษณะพร่ามัวหรือเป็นจุดบอด ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคจุดภาพชัดเสื่อมตามวัย ควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา
- ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
ถึงแม้สาเหตุของโรคนี้ยังไม่ทราบแน่ชัด และอาจสัมพันธ์กับปัจจัยหลายอย่าง (เช่น อายุมาก กรรมพันธุ์) ที่แก้ไขไม่ได้ แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงบางอย่างที่สามารถหลีกเลี่ยงหรือป้องกันได้ การปฏิบัติตัวดังต่อไปนี้อาจช่วยลดความเสี่ยงหรือชะลอความรุนแรงของโรค
- กินอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ ผักและผลไม้ เมล็ดธัญพืชให้มาก ๆ และกินปลาเป็นประจำ
- ไม่สูบบุหรี่
- ถ้าเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ควรรักษาอย่างจริงจังจนสามารถควบคุมโรคเหล่านี้ได้ดี
- ถ้าน้ำหนักเกินหรืออ้วน ควรลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกายและควบคุมอาหาร
1. โรคนี้จะทำให้มีความผิดปกติของการมองเห็นตรงส่วนกลางของลานสายตา แต่ไม่กระทบต่อลานสายตาส่วนรอบนอก ทำให้มีปัญหาในการอ่านหนังสือ การทำงานที่ประณีต การขับรถ และการจำหน้าคน อาจกระทบต่อคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยในการเดินทางได้ จึงควรระวังในการเดินทางและควรมีคนคอยช่วยดูแล
2. อาการผิดปกติมักจะค่อย ๆ เกิดมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างช้า ๆ หากได้รับการดูแลรักษาแต่เนิ่น ๆ อาจช่วยป้องกันไม่ให้อาการรุนแรงมากขึ้นได้ ดังนั้นจึงควรแนะนำให้ผู้ที่มีความเสี่ยง (เช่น อายุเกิน 40 ปี มีประวัติสูบบุหรี่ มีประวัติโรคนี้ในครอบครัว ผู้ที่เป็นความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมอง) ไปตรวจสุขภาพตาเป็นระยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจกรองโรคนี้ด้วยแผ่นภาพแอมสเลอร์ (Amsler’s chart) ซึ่งสามารถตรวจเองที่บ้านได้
3. ผู้ที่สังเกตว่ามีอาการสายตาผิดปกติ เช่น ตาพร่ามัว มองเห็นสีได้ไม่ชัด มองเห็นเส้นตรงเป็นคลื่นหรือเส้นคด เป็นต้น ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด
