
ทั้ง 2 โรคนี้เป็นแผลเปื่อยในช่องปากที่เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งพบได้บ่อยในเด็ก มีอาการแสดงคล้ายกัน คือ มีไข้ และแผลเปื่อยหลายแห่งในช่องปาก ทำให้เจ็บปากกลืนลำบาก อาจกินอาหารและดื่มน้ำได้น้อยจนเกิดภาวะขาดน้ำได้
สาเหตุ
เริมในช่องปากชนิดเฉียบพลัน เกิดจากการติดเชื้อครั้งแรก มักเกิดจากเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 (herpes simplex virus/HSV-1) เป็นส่วนใหญ่ พบบ่อยในเด็กอายุ 10 เดือนถึง 3 ปี ติดต่อโดยการสัมผัสโดยตรง ระยะฟักตัว 2-3 วัน (อาจนานถึง 20 วัน)
เฮอร์แปงไจนา เกิดจากการติดเชื้อไวรัสค็อกแซกกี (coxsackie virus) ซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกับไวรัสที่ทำให้เกิดโรคมือ-เท้า-ปาก แต่เป็นชนิดเอ 2-6 และเอ 10 พบบ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ติดต่อโดยการสัมผัสโดยตรง ระยะฟักตัว 2-9 วัน
อาการ
เด็กมักมีไข้สูงเกิดขึ้นเฉียบพลัน มีอาการเจ็บในปากหรือคอหอย ไม่ยอมกินอาหารและดื่มน้ำ เด็กเล็กอาจร้องกวน ไม่ยอมดูดนม ถ้าเป็นอยู่หลายวันอาจมีภาวะขาดน้ำตามมา ไข้มักจะเป็นอยู่ 1-4 วัน (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) เด็กเล็กบางคนอาจมีอาการชักจากไข้
ส่วนแผลในปากมีลักษณะดังนี้
- สำหรับโรคเริม จะมีตุ่มน้ำเล็ก ๆ พุขึ้นที่เยื่อบุของริมฝีปาก เหงือก ลิ้น และเพดานปาก แล้วแตกเป็นแผลตื้นสีเทาบนพื้นสีแดง ขนาด 1-3 มม. มักมีอาการเหงือกบวมแดง ซึ่งอาจมีเลือดซึมและมีกลิ่นปาก มักตรวจพบต่อมน้ำเหลืองใต้คางโตและเจ็บ อาการต่าง ๆ จะเป็นอยู่ประมาณ 4-5 วันแล้วจะเริ่มทุเลา แผลมักหายได้เองภายใน 10-14 วัน
- สำหรับเฮอร์แปงไจนา จะมีจุดแดงหรือตุ่มน้ำเล็ก ๆ พุขึ้นที่เพดานอ่อน ลิ้น ลิ้นไก่ ผนังคอหอย ทอนซิล แล้วแตกเป็นแผลสีขาวปนเทา ขนาด 2-5 มม. ซึ่งมักหายได้เองภายใน 5-7 วัน
ภาวะแทรกซ้อน
ที่พบบ่อย คือ ทำให้กินอาหารและดื่มน้ำได้น้อย เกิดภาวะขาดน้ำได้
สำหรับโรคเริม เชื้ออาจแพร่ไปที่กระจกตา ทำให้กระจกตาอักเสบถึงสายตาพิการได้ (ดังนี้ ทุกครั้งที่สัมผัสถูกแผลเริม ควรล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่ไปที่กระจกตา)
การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและการตรวจพบแผลในปากที่มีลักษณะดังกล่าวในหัวข้อ "อาการ"
การรักษาโดยแพทย์
1. ให้การรักษาตามอาการ ได้แก่ ให้ยาพาราเซตามอลลดไข้
แนะนำให้พยายามป้อนอาหารเหลวหรือของน้ำ ๆ (เช่น นม น้ำเต้าหู้ น้ำหวาน ข้าวต้ม โจ๊ก แกงจืด) โดยใช้ช้อนป้อนหรือกระบอกฉีดยาค่อย ๆ หยอดเข้าปาก ให้เด็กอมน้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ ดื่มน้ำหรือนมเย็น ๆ หรือกินไอศกรีมเพื่อลดอาการ
ในรายที่เจ็บแผลรุนแรง (ซึ่งพบได้น้อย) แพทย์อาจหายาชาชนิดเจลป้ายแผลในปากเพื่อลดปวด
2. ถ้ามีภาวะขาดน้ำหรือกินไม่ได้ แพทย์จะให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ
3. ถ้าวินิจฉัยว่าเป็นเริมในช่องปาก แพทย์จะพิจารณาให้ยาต้านไวรัส เช่น อะไซโคลเวียร์ นาน 7 วัน
4. หากอาการไม่ทุเลาภายใน 4-7 วัน หรือสงสัยเกิดจากสาเหตุอื่น จะทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจเพาะเชื้อ การตรวจชิ้นเนื้อ เป็นต้น และให้การรักษาตามสาเหตุที่ตรวจพบ
การดูแลตนเอง
หากมีแผลเปื่อยในปากที่ปวดเจ็บมาก กินอาหารและดื่มน้ำลำบาก หรือมีไข้ร่วมด้วย ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นเริมในช่องปากชนิดเฉียบพลัน หรือ เฮอร์แปงไจนา ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด
การป้องกัน
1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นมีตุ่มตามผิวหนังหรือเยื่อเมือก หรือผู้ที่มีแผลเปื่อยในช่องปาก
2. ไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้ (เช่น จาน ชาม แก้วน้ำ มีดโกน ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า เครื่องสำอาง) ร่วมกับผู้อื่น
3. หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ หลังสัมผัสตัวผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเริมหรือเฮอร์แปงไจนา
ข้อแนะนำ
เด็กที่มีไข้และแผลเปื่อยในปาก ควรแยกออกจากโรคมือ-เท้า-ปาก ซึ่งจะมีผื่นขึ้นที่มือและเท้าร่วมด้วย และกลุ่มอาการสตีเวนส์จอห์นสัน ซึ่งจะมีผื่นขึ้นตามตัวร่วมด้วย