
เกิดจากเชื้อเอชไอวี* ซึ่งเป็นไวรัสชนิดใหม่ เพิ่งมีการเพาะเลี้ยงแยกเชื้อได้ในปี พ.ศ. 2526 เชื้อนี้มีมากในเลือด น้ำอสุจิ และน้ำเมือกในช่องคลอดของผู้ติดเชื้อ จึงสามารถแพร่เชื้อได้โดย
1. ทางเพศสัมพันธ์ ทั้งต่างเพศและเพศเดียวกัน (ในชายรักร่วมเพศ หรือเกย์)
2. ทางเลือด เช่น การได้รับการถ่ายเลือด การปลูกถ่ายอวัยวะที่มีเชื้อ การแปดเปื้อนผลิตภัณฑ์จากเลือด การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน เป็นต้น
ส่วนการใช้ของมีคม (เช่น ใบมีดโกน เป็นต้น) ร่วมกับผู้ติดเชื้อ การสัก การเจาะหู อาจมีโอกาสแปดเปื้อนเลือดที่มีเชื้อได้ แต่จะมีโอกาสติดโรคได้ก็ต่อเมื่อมีแผลเปิด และปริมาณเลือดหรือน้ำเหลืองที่เข้าไปในร่างกายมีจำนวนมากพอ
3. การติดต่อจากมารดาที่มีเชื้อสู่ทารก ตั้งแต่ระยะอยู่ในครรภ์ ระยะคลอด และระยะเลี้ยงดูหลังคลอด โอกาสที่ทารกจะติดเชื้อจากมารดาประมาณร้อยละ 20-50
จากการศึกษาในประเทศต่าง ๆ เท่าที่ผ่านมา ไม่พบว่ามีการติดต่อโดย
- การหายใจ ไอ จามรดกัน
- การกินอาหารและดื่มน้ำร่วมกัน
- การว่ายน้ำในสระ หรือเล่นกีฬาร่วมกัน
- การใช้ห้องน้ำร่วมกัน
- การอยู่ในห้องเรียน ห้องทำงาน ยานพาหนะ หรือการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ
- การสัมผัส โอบกอด
- การใช้ครัว ภาชนะเครื่องครัว จาน แก้ว หรือผ้าเช็ดตัวร่วมกัน
- การใช้โทรศัพท์ร่วมกัน
- การถูกยุงหรือแมลงกัด
เชื้อเอชไอวีเมื่อเข้าสู่ร่างกาย ก็จะมีการเพิ่มจำนวน สามารถแยกเชื้อไวรัสหรือตรวจพบสารก่อภูมิต้านทาน (แอนติเจน) ได้หลังติดเชื้อ 2-6 สัปดาห์ และจะตรวจพบสารภูมิต้านทาน (แอนติบอดี) ได้หลังติดเชื้อ 3-12 สัปดาห์
ผู้ที่ตรวจพบสารภูมิต้านทานในเลือดร้อยละ 90 จะมีเชื้อเอชไอวีในกระแสเลือด ซึ่งสามารถแพร่โรคให้ผู้อื่นได้ แม้จะไม่มีอาการอะไรเลยก็ตาม
เนื่องจากผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะมีการเปลี่ยนของร่างกายแตกต่างกันไป สุดแล้วแต่จำนวนของเชื้อและระดับภูมิคุ้มกัน (จำนวน CD4) ของร่างกาย ดังนั้นโรคนี้จึงสามารถแบ่งออกเป็น 4 ระยะด้วยกันดังนี้
1. ระยะแรกเริ่มของการติดเชื้อเอชไอวี (primary HIV infection หรือ acute retroviral syndrome) ระยะนี้นับตั้งแต่เริ่มติดเชื้อเอชไอวี จนกระทั่งร่างกายเริ่มสร้างสารภูมิต้านทาน กินเวลาประมาณ 1-6 สัปดาห์ หลังติดเชื้อผู้ป่วยจะมีอาการไข้ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว มีผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว น้ำหนักลด หรือมีฝ้าขาวในช่องปาก อาการเหล่านี้มักจะเป็นอยู่ 1-2 สัปดาห์ (บางรายเพียง 2-3 วัน บางรายอาจนานถึง 10 สัปดาห์) แล้วหายไปได้เอง เนื่องจากอาการคล้ายกับไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือไข้ทั่ว ๆ ไป ผู้ป่วยอาจซื้อยารักษาเอง หรือเมื่อไปพบแพทย์ก็อาจไม่ได้รับการตรวจเลือด นอกจากนี้บางรายหลังติดเชื้ออาจไม่มีอาการผิดปกติปรากฏให้เห็น ดังนั้น ผู้ติดเชื้อในระยะนี้จึงมักไม่ได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่ในระยะนี้
ผู้ติดเชื้อบางรายอาจมีอาการรุนแรง มีอาการสมองอักเสบหรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบร่วมด้วย ผู้ป่วยที่มีอาการอยู่นานหรือรุนแรง มักดำเนินโรคเข้าสู่ระยะเอดส์เต็มขั้นภายในเวลาสั้น ๆ
ถ้ามีจำนวน CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม. ก็อาจเกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาสได้
2. ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ ผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ หรือมีอาการเล็กน้อยอยู่ชั่วขณะดังกล่าวมักจะแข็งแรงเป็นปกติเหมือนคนทั่วไป แต่การตรวจเลือดจะพบเชื้อเอชไอวีและสารภูมิต้านทานต่อเชื้อชนิดนี้ และสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ เรียกว่าเป็นพาหะ (carrier)
ระยะนี้แม้ว่าจะไม่มีอาการ แต่เชื้อเอชไอวีจะแบ่งตัวเจริญขึ้นไปเรื่อย ๆ และทำลาย CD4 จนมีจำนวนลดลง โดยเฉลี่ยประมาณปีละ 50-75 เซลล์/ลบ.มม. จากระดับปกติ (คือ 600-1,000 เซลล์) เมื่อลดต่ำลงมาก ๆ ก็จะเกิดอาการเจ็บป่วย ทั้งนี้อัตราการลดลงของ CD4 จะเร็วช้าขึ้นกับความรุนแรงของเชื้อเอชไอวี และสภาพความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย
ระยะนี้มักเป็นอยู่นาน 5-10 ปี บางรายอาจสั้นเพียง 2-3 เดือน แต่บางรายอาจนานกว่า 10-15 ปีขึ้นไป
3. ระยะติดเชื้อที่มีอาการ เดิมเรียกว่า ระยะที่มีอาการสัมพันธ์กับเอดส์ (AIDS related complex/ARC) ผู้ป่วยจะมีอาการมากน้อยขึ้นกับจำนวน CD4 ดังนี้
3.1 อาการเล็กน้อย ระยะนี้ถ้าตรวจ CD4 จะมีจำนวนมากกว่า 500 เซลล์/ลบ.มม. ผู้ป่วยอาจมีอาการ ดังนี้
- ต่อมน้ำเหลืองที่คอโตเล็กน้อย
- โรคเชื้อราที่เล็บ
- แผลแอฟทัส (aphthous ulcer)
- ผิวหนังอักเสบชนิดเกล็ดรังแคที่ไรผม ข้างจมูก ริมฝีปาก
- ฝ้าขาวข้างลิ้น (hairy leukoplakia) ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสอีบีวี (Epstein-Barr virus/EBV) มีลักษณะเป็นฝ้าขาวที่ด้านข้างของลิ้น ซึ่งขูดไม่ออก
- โรคโซริอาซิสที่เคยเป็นอยู่เดิมกำเริบ
3.2 อาการปานกลาง ระยะนี้ถ้าตรวจ CD4 จะมีจำนวนระหว่าง 200-500 เซลล์/ลบ.มม. ผู้ป่วยอาจมีอาการทางผิวหนังและเยื่อบุช่องปากแบบข้อ 3.1 หรือไม่ก็ได้ อาการที่อาจพบได้มีดังนี้
- เริม ที่ริมฝีปาก หรืออวัยวะเพศ ซึ่งกำเริบบ่อย และเป็นแผลเรื้อรัง
- งูสวัด ที่มีอาการกำเริบอย่างน้อย 2 ครั้ง หรือขึ้นพร้อมกันมากกว่า 2 แห่ง
- โรคเชื้อราในช่องปาก หรือช่องคลอด
- ท้องเดินบ่อย หรือเรื้อรังนานเกิน 1 เดือน
- ไข้เกิน 37.8 องศาเซลเซียส แบบเป็น ๆ หาย ๆ หรือติดต่อกันทุกวันนานเกิน 1 เดือน
- ต่อมน้ำเหลืองโตมากกว่า 1 แห่งในบริเวณที่ไม่ติดต่อกัน (เช่น คอ รักแร้ ขาหนีบ) นานเกิน 3 เดือน
- น้ำหนักลดเกินร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัวโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ปวดกล้ามเนื้อและข้อ
- ไซนัสอักเสบเรื้อรัง
- ปอดอักเสบจากแบคทีเรีย ซึ่งเป็นซ้ำบ่อย
4. ระยะป่วยเป็นเอดส์ (เอดส์เต็มขั้น) ระยะนี้ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยเสื่อมเต็มที่ ถ้าตรวจ CD4 จะพบมีจำนวนต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม. เป็นผลทำให้เชื้อโรคต่าง ๆ เช่น เชื้อรา ไวรัส แบคทีเรีย โปรโตซัว วัณโรค เป็นต้น ฉวยโอกาสเข้ารุมเร้า เรียกว่า โรคติดเชื้อฉวยโอกาส (opportunistic infections) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อที่รักษาค่อนข้างยาก และอาจติดเชื้อชนิดเดิมซ้ำอย่างเดียว หรือติดเชื้อชนิดใหม่ หรือติดเชื้อหลายชนิดร่วมกัน
ระยะนี้ผู้ป่วยอาจมีอาการดังนี้
- เหงื่อออกมากตอนกลางคืน
- ไข้ หนาวสั่น หรือไข้สูงเรื้อรังติดต่อกันหลายสัปดาห์ หรือเป็นแรมเดือน
- ไอเรื้อรัง หรือหายใจหอบเหนื่อยจากวัณโรคปอด หรือปอดอักเสบ
- ท้องเดินเรื้อรังจากเชื้อราหรือโปรโตซัว
- น้ำหนักลด รูปร่างผอมแห้ง และอ่อนเปลี้ยเพลียแรง
- ปวดศีรษะรุนแรง ชัก สับสน ซึม หรือหมดสติจากการติดเชื้อในสมอง
- แขนขาชาหรืออ่อนแรง
- ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน
- กลืนลำบาก หรือเจ็บเวลากลืน เนื่องจากหลอดอาหารอักเสบจากเชื้อรา
- สายตาพร่ามัวมองไม่ชัด หรือเห็นเงาหยากไย่ลอยไปมาจากจอตาอักเสบ
- ตกขาวบ่อย
- มีผื่นคันตามผิวหนัง (papulopruritic eruption)
- ซีด
- มีจุดแดงจ้ำเขียว หรือเลือดออกจากภาวะเกล็ดเลือดต่ำ หรือไอทีพี
- สับสน ความจำเสื่อม หลงลืมง่าย ไม่มีสมาธิ พฤติกรรมผิดแปลกไปจากเดิม เนื่องจากความผิดปกติของสมอง (อ่านเพิ่มเติมในหัวข้อ "ภาวะแทรกซ้อน" ด้านล่าง)
- อาการของโรคมะเร็งที่เกิดแทรกซ้อน เช่น มะเร็งของผนังหลอดเลือดที่เรียกว่า Kaposi’s sarcoma (KS)* มะเร็งต่อมน้ำเหลืองในสมอง มะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก เป็นต้น
ในเด็กที่ติดเชื้อเอชไอวี ระยะแรกอาจมีอาการน้ำหนักตัวไม่ขึ้นตามเกณฑ์ เมื่อโรคลุกลามมากขึ้นก็อาจมีอาการเดินลำบาก หรือพัฒนาการทางสมองช้ากว่าปกติ และเมื่อเป็นเอดส์เต็มขั้น นอกจากมีโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแบบเดียวกับผู้ใหญ่แล้ว ยังอาจพบว่าหากเป็นโรคที่พบทั่วไปในเด็ก (เช่น หูชั้นกลางอักเสบ ปอดอักเสบ ทอนซิลอักเสบ) ก็มักจะมีอาการรุนแรงมากกว่าปกติ


ฝ้าขาวข้างลิ้น (hairy leukoplakia)
ลักษณะเป็นฝ้าขาวที่ด้านข้างของลิ้น ซึ่งขูดไม่ออก

ผื่นตุ่มที่ผิวหนังจะไม่มีอาการเจ็บปวดหรือคันแต่อย่างใด ส่วนมากจะขึ้นมากกว่า 1 รอยโรคซึ่งอยู่แยกกัน และมีรอยโรคใหม่ทยอยขึ้นไปเรื่อย ๆ ทุกสัปดาห์ บางครั้งก็อาจแผ่รวมกันเป็นผื่นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหลายเซนติเมตร
ส่วนผื่นในช่องปาก บางครั้งอาจกลายเป็นแผล มีเลือดออก และอาจทำให้พูดและกินอาหารได้ลำบาก อาจทำให้ฟันหลุด หรืออุดกั้นทางเดินหายใจ
ถ้าเป็นที่บริเวณต่อมน้ำเหลือง อาจทำให้ขาบวมจากการอุดกั้นของทางเดินน้ำเหลือง
นอกจากนี้อาจขึ้นที่เยื่อบุทางเดินอาหาร (อาจทำให้ท้องเดิน ลำไส้อุดกั้น ถ่ายเป็นเลือด) เยื่อบุทางเดินหายใจ (อาจทำให้ไอเป็นเลือด หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก)
มักพบในผู้ป่วยเอดส์ที่มีจำนวน CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม. ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ ได้แก่ การติดเชื้อฉวยโอกาส ซึ่งอาจมีความรุนแรง และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตได้ บางรายอาจมาพบแพทย์ด้วยอาการของภาวะแทรกซ้อนมากกว่าอาการของโรคเอดส์เอง โรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่พบบ่อย ได้แก่
- วัณโรคปอด และวัณโรคนอกปอด (เช่น ต่อมน้ำเหลือง เยื่อหุ้มสมอง เยื่อหุ้มปอด เยื่อหุ้มหัวใจ วัณโรคชนิดแพร่กระจาย) ซึ่งมักเป็นรุนแรงและอาจดื้อต่อยารักษาวัณโรคหลายชนิด
- ปอดอักเสบจากเชื้อรานิวโมซิสติสจิโรเวซิ (Pneumocystis jiroveci) เรียกว่า "ปอดอักเสบจากนิวโมซิสติส (pneumocystis pneumonia/PCP)"
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อราคริปโตค็อกคัส (cryptococcal meningitis) มักพบในผู้ป่วยเอดส์ที่มีจำนวน CD4 ต่ำกว่า 50 เซลล์/ลบ.มม.
- หลอดอาหารอักเสบจากเชื้อราแคนดิดา (esophageal candidiasis) ทำให้มีอาการกลืนลำบาก เจ็บเวลากลืน เจ็บตรงบริเวณหลังกระดูกลิ้นปี่ และมักมีโรคเชื้อราในช่องปากร่วมด้วย นอกจากนี้ยังอาจพบหลอดลมอักเสบ และปอดอักเสบจากเชื้อแคนดิดา
- ปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ที่พบในคนปกติทั่วไป แต่มักจะเป็นมากกว่า 1 ครั้งใน 1 ปี
- โรคติดเชื้อฉวยโอกาสอื่น ๆ เช่น จอตาอักเสบจากเชื้อไวรัสไซโตเมกะโล (cytomegalovirus/CMV retinitis ทำให้สายตามัว อาจรุนแรงถึงตาบอดได้ มักพบในผู้ป่วยที่มี CD4 ต่ำกว่า 50 เซลล์/ลบ.มม.) ท้องเดินรุนแรงจากเชื้อซัลโมเนลลา (salmonellosis) ตับอักเสบจากไวรัส การติดเชื้อไวรัสเอชพีวี ซึ่งอาจทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูก การติดเชื้อไวรัสโพลีโอมา (polyomavirus) ที่สมอง ทำให้เกิดความผิดปกติของสมองที่เรียกว่า "Progressive multifocal leukoencephalopathy" (มีอาการพูดลำบาก ตาบอดข้างหนึ่ง แขนขาชาและอ่อนแรงซีกหนึ่ง ความจำเสื่อม) การติดเชื้อรุนแรงชนิดแพร่กระจายทั่วร่างกายจากเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium avium complex (MAC) เชื้อโปรโตซัว-Toxoplasma gondii และเชื้อรา-Histoplasma capsulatum เป็นต้น
นอกจากนี้ยังอาจพบภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น
- มะเร็ง ที่พบบ่อยได้แก่ มะเร็งของผนังหลอดเลือดที่มีชื่อว่า Kaposi’s sarcoma มะเร็งต่อมน้ำเหลืองกลุ่มไม่ใช่ฮอดคินส์ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก (ในผู้ป่วยที่เป็นชายรักร่วมเพศ)
- ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาทและสมอง ที่พบบ่อยก็คือ ภาวะ AIDS dementia complex หรือ ADC (มีชื่อเรียกอื่น เช่น HIV dementia, HIV encephalopathy, HIV associated dementia) ซึ่งไม่ได้เกิดจากโรคติดเชื้อแทรกซ้อนของสมอง แต่เป็นผลการเปลี่ยนแปลงของเซลล์สมองจากเชื้อเอชไอวีโดยตรง ทำให้มีอาการผิดปกติทางสมองและจิตประสาท เช่น ความจำเสื่อม หลงลืมง่าย สับสน ขาดสมาธิ การทำงานของกล้ามเนื้อผิดปกติ (เช่น พูดลำบาก เคลื่อนไหวเชื่องช้า เดินเซ สั่น แขนขาเป็นอัมพาต กลั้นปัสสาวะไม่ได้) พฤติกรรมผิดแปลกไปจากเดิม (เช่น ไร้อารมณ์ ซึม กระสับกระส่าย ฟุ้งพล่าน ไม่ยอมพูด) มักพบในผู้ป่วยเอดส์ระยะท้าย ๆ ปัจจุบันพบภาวะนี้ได้น้อยลงเนื่องจากมีการใช้ยาต้านไวรัสรักษาผู้ป่วยเอดส์
นอกจากนี้ ยังอาจมีโรคไขสันหลังอักเสบ (ขาชาและอ่อนแรง กลั้นปัสสาวะไม่ได้) ปลายประสาทอักเสบ (มีอาการปวดแสบปวดร้อนและชาที่ขา)
- อาการน้ำหนักลดมากจนมีลักษณะผอมแห้ง (wasting syndrome) มักมีอาการไข้เรื้อรัง ท้องเดิน และอ่อนเปลี้ยเพลียแรงร่วมด้วย
- ภาวะโลหิตจาง
- ภาวะเกล็ดเลือดต่ำจากไอทีพี
- ปวดข้อ ข้ออักเสบ
- ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- ถุงน้ำดีอักเสบ อุ้งเชิงกรานอักเสบ (pelvic Inflammatory disease) ช่องคลอดอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
- โรคไตเนโฟรติก ภาวะไตวายเรื้อรัง
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้
ในระยะที่มีอาการป่วยเป็นเอดส์แล้ว จะตรวจพบอาการผิดปกติต่าง ๆ เช่น ไข้ ซูบผอม ต่อมน้ำเหลืองโตหลายแห่ง (บริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบ) ซีด จุดแดง จ้ำเขียว เป็นต้น
ในช่องปากอาจพบอาการลิ้นหรือช่องปากเป็นฝ้าขาวจากเชื้อราแคนดิดา รอยฝ้าขาวข้างลิ้น (hairy leukoplakia) แผลเริมเรื้อรัง แผลแอฟทัส ปากเปื่อย ก้อนเนื้องอก (มะเร็ง) เป็นต้น
บริเวณผิวหนัง อาจพบวงผื่นของโรคเชื้อรา (กลาก เกลื้อน โรคเชื้อราแคนดิดา) ลุกลามเป็นบริเวณกว้างและเรื้อรัง เริม งูสวัด แผลเรื้อรัง พุพอง ก้อนเนื้องอก หูดข้าวสุก ผื่นหรือตุ่มสีน้ำตาล สีแดง หรือสีม่วง (Kaposi’s sarcoma) ตุ่มหนองหรือตุ่มคล้ายหูดข้าวสุกกระจายทั่วไปจากเชื้อราเพนิซิลเลียม มาร์เนฟไฟ (Penicillium marneffei) ผิวหนังแห้ง คัน เป็นเกล็ดขาว เป็นตุ่มคัน เป็นต้น
ในรายที่เป็นปอดอักเสบ จะมีอาการหายใจหอบ ใช้เครื่องฟังตรวจปอดมีเสียงกรอบแกรบ (crepitation)
ในรายที่เป็นโรคติดเชื้อของสมอง จะมีอาการซึม เพ้อ ชัก หมดสติ ถ้าเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบจะตรวจพบอาการคอแข็ง
นอกจากนี้ อาจตรวจพบอาการแขนขาชาหรืออ่อนแรงจากไขสันหลังอักเสบ หรือปลายประสาทอักเสบ ข้ออักเสบบวมแดงร้อน บวมจากโรคไต ดีซ่านจากตับอักเสบ เป็นต้น
แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวี
แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้
1. ในรายที่มีความเสี่ยง เช่น หญิงบริการ ผู้ที่ชอบเที่ยวหรือมีเพศสัมพันธ์เสรี ผู้ที่ฉีดยาเสพติด แม่บ้านที่สามีมีพฤติกรรมเสี่ยง ผู้ที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (เช่น หนองใน ซิฟิลิส) ผู้หญิงตั้งครรภ์ เป็นต้น แพทย์จะให้คำปรึกษาในการตรวจเลือดพิสูจน์บนพื้นฐานของความสมัครใจ และต้องรักษาความลับในกรณีตรวจพบเลือดบวก
การตรวจเลือดเพื่อบ่งบอกการติดเชื้อเอชไอวี สามารถกระทำโดยวิธีใดวิธีหนึ่งดังนี้
- การตรวจหาสารภูมิต้านทาน (แอนติบอดี) ต่อเชื้อเอชไอวี โดยวิธีอีไลซ่า (ELISA) จะตรวจพบสารภูมิต้านทานหลังติดเชื้อ 3-12 สัปดาห์ (ส่วนใหญ่ประมาณ 8 สัปดาห์ บางรายอาจนานถึง 6 เดือน)* วิธีนี้เป็นการตรวจกรองขั้นต้น ถ้าพบเลือดบวก ต้องทำการตรวจยืนยันด้วยวิธีอีไลซ่าที่ผลิตโดยอีกบริษัทหนึ่งที่ไม่ซ้ำกับวิธีตรวจครั้งแรก หรือทำการตรวจด้วยวิธี particle agglutination test (PA) ถ้าให้ผลบวกก็สามารถวินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อเอชไอวี แต่ถ้าให้ผลลบก็ต้องตรวจยืนยันโดยวิธีเวสเทิร์นบลอต (Western blot) อีกครั้ง ซึ่งให้ผลบวก 100% หลังติดเชื้อ 2 สัปดาห์
- การตรวจหาสารก่อภูมิต้านทานหรือแอนติเจน (ส่วนประกอบของตัวเชื้อเอชไอวี) โดยวิธี PCR จะตรวจพบแอนติเจนหลังติดเชื้อ 2-6 สัปดาห์
ถ้าตรวจเลือดพบว่ามีการติดเชื้อเอชไอวี (เลือดบวก) แน่ชัด โดยไม่มีอาการก็จัดว่าเป็นผู้ติดเชื้อโดยไม่มีอาการหรือพาหะ ควรให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวเพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรง และหลีกเลี่ยงการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น (อ่านเพิ่มเติมในหัวข้อ "ข้อแนะนำ" ด้านล่าง)
2. ในรายที่มีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นเอดส์ แพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยโดยการตรวจเลือดและทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ เช่น ทำการทดสอบทูเบอร์คูลิน (tuberculin test) ตรวจเสมหะและเอกซเรย์ในรายที่สงสัยจะเป็นวัณโรคปอด ตรวจเสมหะและเอกซเรย์ปอดในรายที่สงสัยเป็นปอดอักเสบ เจาะหลังในรายที่สงสัยจะเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ส่องกล้องตรวจดูทางเดินอาหารในรายที่สงสัยจะมีการติดเชื้อราแคนดิดา ตรวจชิ้นเนื้อในรายที่สงสัยเป็นมะเร็ง เป็นต้น
การตรวจเลือด นอกจากตรวจยืนยันการติดเชื้อเอชไอวีแล้ว ยังมีการตรวจนับ CD4 ทุก 3-6 เดือน และการตรวจวัดปริมาณเชื้อเอชไอวีในเลือด (viral load หรือ HIV-RNA) เป็นระยะเพื่อใช้ในการประเมินความรุนแรงของโรค การตัดสินใจเริ่มให้ยารักษา การติดตามการดำเนินของโรค และการปรับวิธีการรักษา
การรักษา ผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ มีหลักการรักษาคร่าว ๆ ดังนี้
(1) ให้ยาต้านไวรัส (anti-retrovirus/ARV) มีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อเอชไอวี สามารถลดจำนวนของเชื้อเอชไอวี ซึ่งจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น ชะลอการเกิดโรคเอดส์และลดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ทำให้ผู้ป่วยมีสุขภาพที่ดีและอายุยืนยาวขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้ช่วยให้หายขาดจากโรค
แพทย์จะพิจารณาให้ยาต้านไวรัสในกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้
- เมื่อมีอาการแสดงของโรคทั้งในระยะแรกเริ่มและระยะหลัง การให้ยาต้านไวรัสในผู้ป่วยที่เป็นระยะแรกเริ่ม (primary HIV infection) สามารถชะลอการดำเนินโรคเข้าสู่ระยะที่รุนแรงได้
- เมื่อยังไม่มีอาการแสดง แต่ตรวจเลือดพบว่ามีค่า CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม.
- เมื่อยังไม่มีอาการแสดง แต่มีค่า CD4 200-350 เซลล์/ลบ.มม. อาจพิจารณาให้ยาต้านไวรัสเป็นราย ๆ ไป เช่น ในรายที่ปริมาณเชื้อไวรัสสูง มีอัตราการลดลงของ CD4 อย่างรวดเร็ว ความพร้อมของผู้ป่วย เป็นต้น
การให้ยาต้านไวรัส ควรอธิบายให้ผู้ป่วยและญาติทราบถึงความจำเป็นที่ต้องกินยาให้ตรงเวลาและต่อเนื่องทุกวัน และร่วมกันหามาตรการในการปฏิบัติ ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาการดื้อยาหากกินยาไม่ต่อเนื่อง
โดยทั่วไป แพทย์จะให้ยาต้านไวรัสความแรงสูง (HAART) ด้วยยาต้านไวรัส 3 ชนิดร่วมกัน เช่น GPO-vir S30**, GPO-vir S40*** เป็นต้น ก่อนให้ยาจะตรวจจำนวน CD4 และปริมาณเชื้อเอชไอวีในเลือด (viral load) 2 ครั้ง เพื่อใช้สำหรับเปรียบเทียบ หลังการรักษา 4-8 สัปดาห์ทำการเจาะเลือดซ้ำ ถ้าได้ผลดีก็จะเจาะเลือดทุก 2-4 เดือน แต่ถ้ามีการลดลงของ CD4 ก็จะเจาะถี่ขึ้น
ถ้าพบว่าเชื้อดื้อยา**** ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนสูตรยาใหม่
ในการใช้ยาควรติดตามดูผลข้างเคียง ซึ่งอาจมีอันตรายต่อผู้ป่วย หรือทำให้ผู้ป่วยไม่ยอมกินอย่างต่อเนื่องได้
(2) ให้การรักษาภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น ในที่นี้ขอยกตัวอย่างโรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่พบบ่อย เช่น
- วัณโรค ถ้าตรวจพบว่ามีอาการเจ็บป่วยของวัณโรคก็ให้ยารักษาวัณโรค แต่ควรหลีกเลี่ยงสูตรยาวัณโรคที่มีไรแฟมพิซิน เพราะยานี้ต้านฤทธิ์ยาต้านไวรัส
- ปอดอักเสบ จากเชื้อรานิวโมซิสติสจิโรเวซิ (Pneumocystis pneumonia/PCP) เมื่อมีอาการเจ็บป่วยด้วยโรคนี้ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น โคไตรม็อกซาโซล กินหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำ หรือให้เพนทาไมดีน (pentamidine) ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ หรือให้โคไตรม็อกซาโซล กินร่วมกับแดปโซน (dapsone) โดยให้ยาขนานใดขนานหนึ่งนาน 21 วัน
ผู้ป่วยที่เคยเป็นปอดอักเสบ PCP มาก่อน มีประวัติโรคเชื้อราในช่องปาก หรือโรคติดเชื้อฉวยโอกาส หรือมี CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม. ควรให้ยาป้องกัน โดยให้โคไตรม็อกซาโซล วันละ 1-2 เม็ด หรือ 2 เม็ด 3 วัน/สัปดาห์ หรือแดปโซน 100 มก. ทุกวัน
โคไตรม็อกซาโซลยังสามารถใช้ป้องกันการติดเชื้อท็อกโซพลาสมา (toxoplasma)
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบ จากเชื้อราคริปโตค็อกคัส (cryptococcal meningitis) ให้ยาฆ่าเชื้อราแอมโฟเทอริซินบี (amphotericin B) หยดเข้าหลอดเลือดดำช้า ๆ นาน 14 วัน แล้วเปลี่ยนเป็นฟลูโคนาโซล (fluconazole) หรือไอทราโคนาโซล เป็นเวลาอย่างน้อย 8 สัปดาห์ หรือจนกระทั่งผลการเพาะเชื้อราในน้ำไขสันหลังให้ผลลบอย่างน้อย 2 ครั้ง ในระยะห่างกันอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เมื่อรักษาขั้นต้นจนหายแล้ว ควรให้กินฟลูโคนาโซล (fluconazole) 200 มก. ไปตลอดชีวิต เพื่อป้องกันการกำเริบซ้ำ
(3) ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี ควรฉีดวัคซีนป้องกันปอดอักเสบจากเชื้อปอดบวม หรือนิวโมค็อกคัส (pneumococcal vaccine) ทุก 5 ปี และฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี (ถ้ายังไม่เคยฉีดมาก่อน)
(4) การเสริมสภาพจิตใจของผู้ป่วย ซึ่งมักจะมีความวิตกกังวล ซึมเศร้า โกรธ รู้สึกไม่มั่นคง ด้วยการให้การปรึกษาแนะแนว ให้กำลังใจ ให้การสังคมสงเคราะห์ตามความจำเป็น รวมทั้งสนับสนุนให้เข้าร่วมกลุ่มมิตรภาพบำบัด หรือกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน (self-help group)
**GPO-vir S30 ประกอบด้วย nevirapine 200 มก. Iamivudine (3TC) 150 มก. และ stavudine (d4T) 30 มก.
***GPO-vir S40 ประกอบด้วย nevirapine 200 มก. Iamivudine (3TC) 150 มก. และ stavudine (d4T) 40 มก.
****การดื้อยา หรือการรักษาไม่ได้ผล มีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
- หลังรักษา 4-8 สัปดาห์แล้วปริมาณเชื้อเอชไอวีในเลือดไม่ลด
- หลังรักษา 4-6 เดือนแล้วยังตรวจพบเชื้อเอชไอวีในเลือด (ยกเว้นก่อนรักษามีปริมาณเชื้อสูง และลดน้อยลงหลังการรักษา ก็ไม่ต้องเปลี่ยนยา)
- ตรวจพบเชื้อครั้งใหม่ หลังจากที่เคยตรวจไม่พบแล้ว
- ปริมาณเชื้อ (HIV-RNA) เพิ่มขึ้น 3 เท่า โดยไม่มีการติดเชื้อหรือฉีดวัคซีน
- ปริมาณ CD4 ลดลงอย่างต่อเนื่อง 2 ครั้ง ติดต่อกัน
- อาการของผู้ป่วยเลวลงกว่าเดิม
หากสงสัย เช่น มีอาการไข้ หรือท้องเดินนานเกิน 1-2 สัปดาห์, น้ำหนักลดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ, มีฝ้าขาวข้างลิ้น, มีต่อมน้ำเหลืองโตหลายแห่ง, มีผื่นขึ้นตามตัวเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นต้น หรือมีความวิตกกังวลว่าจะมีการติดเชื้อเอชไอวีเนื่องจากมีพฤติกรรมเสี่ยง ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี หรือเป็นโรคเอดส์ ควรดูแลรักษาตนเอง ดังนี้
1. สำหรับผู้ติดเชื้อโดยไม่มีอาการ กลุ่มนี้ยังมีสุขภาพแข็งแรงเช่นคนทั่วไป และสามารถดำเนินชีวิตไปตามปกติ บางรายอาจใช้เวลา 5-10 ปีกว่าจะป่วยเป็นเอดส์ บางรายก็ยังคงแข็งแรงดีแม้ติดเชื้อเกิน 10-15 ปีขึ้นไป ผู้ติดเชื้อโดยไม่มีอาการควรปฏิบัติดังนี้
- ไปพบแพทย์และตรวจเลือดเป็นระยะ ๆ ตามที่แพทย์แนะนำ และกินยาต้านไวรัสเมื่อมีค่า CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม. การกินยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่องมักจะช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและยาวนาน ส่วนใหญ่มักจะนานกว่า 10 ปีขึ้นไป หากสงสัยมีอาการข้างเคียงจากยา ควรรีบไปพบแพทย์ก่อนนัด เพื่อปรับเปลี่ยนยา พยายามอย่าให้ขาดยา
- ทำงาน เรียนหนังสือ คบค้าสมาคมกับผู้อื่น และปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ไม่ต้องกังวลว่าจะแพร่เชื้อให้คนอื่นโดยการสัมผัส หรืออยู่ใกล้ชิดกัน หรือหายใจรดผู้อื่น
- หากมีความกังวลเป็นทุกข์ใจ ควรเล่าความในใจให้ญาติสนิทมิตรสหายฟัง หรือขอคำปรึกษาแนะนำจากแพทย์ พยาบาล นักจิตวิทยา หรืออาสาสมัครในองค์กรพัฒนาเอกชน
- เรียนรู้ธรรมชาติของโรค การรักษา การดูแลตนเอง จนมีความเข้าใจโรคนี้เป็นอย่างดี ก็จะไม่มีความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง และมีกำลังใจเข้มแข็ง ซึ่งเป็นอาวุธอันทรงพลังในการบำรุงรักษาสุขภาพให้แข็งแรงต่อไป ผู้ที่เสียกำลังใจอาจเสียสุขภาพทางกาย หรือถูกโรครุมเร้าได้ง่าย
- ส่งเสริมสุขภาพตัวเองด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย (ไม่จำเป็นต้องกินอาหารเสริมราคาแพง) งดแอลกอฮอล์ บุหรี่ สิ่งเสพติด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- เสริมสร้างสุขภาพจิตด้วยการฟังเพลง ร้องเพลง เล่นกีฬา อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ ฝึกสมาธิ เจริญสติ สวดมนต์หรือภาวนาตามลัทธิศาสนาที่นับถือ หมั่นทำความดีและช่วยเหลือผู้อื่น สร้างกุศลกรรม (เช่น ช่วยรณรงค์ในการป้องกันโรคเอดส์ บำเพ็ญประโยชน์ ทำงานอาสาสมัคร เป็นต้น) ถ้ามีโอกาสควรเข้าร่วมกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนในหมู่ผู้ติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจจะแพร่เชื้อให้ผู้อื่น โดย
- งดการบริจาคเลือด หรืออวัยวะต่าง ๆ เช่น ดวงตา ไต เป็นต้น
- เมื่อร่างกายเปรอะเปื้อนเลือดหรือน้ำเหลือง ให้รีบทำความสะอาด และเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที แล้วนำไปแยกซักให้สะอาดและตากให้แห้ง ควรระวังอย่าให้ผู้อื่นสัมผัสถูกเลือดหรือน้ำเหลืองของตัวเอง
- ไม่ใช้ของมีคม (เช่น ใบมีดโกน) ร่วมกับผู้อื่น
- หลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ โดยการคุมกำเนิด เพราะเด็กอาจมีโอกาสรับเชื้อจากมารดาได้
- มารดาที่มีการติดเชื้อ ไม่ควรเลี้ยงบุตรด้วยนมตัวเอง
2. สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นเอดส์ ควรปฏิบัติดังนี้
- ปฏิบัติเช่นเดียวกับผู้ติดเชื้อโดยไม่มีอาการ โดยปรับให้เหมาะกับสภาพของร่างกาย เช่น ทำงานและออกกำลังกายแต่พอเหมาะ
- กินยาและรับการรักษาพยาบาลตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรกินยาต้านไวรัสให้ตรงเวลาทุกวัน อย่าได้ขาด ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อดื้อยา ทำให้มีคุณภาพชีวิตดีเช่นคนปกติทั่วไป
- เมื่อมีโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแทรกซ้อน ควรป้องกันมิให้เชื้อโรคต่าง ๆ แพร่ให้ผู้อื่น เช่น
- ถ้วย ชาม จาน แก้วน้ำที่ใช้แล้ว ควรล้างให้สะอาดด้วยน้ำยาล้างจาน หรือลวกด้วยน้ำร้อน แล้วทิ้งไว้ให้แห้งก่อนนำไปใช้ใหม่
- ควรระมัดระวังมิให้น้ำมูก น้ำลาย น้ำเหลืองจากแผล ปัสสาวะ และสิ่งขับถ่ายต่าง ๆ ไปเปรอะเปื้อนถูกผู้อื่น
- การบ้วนน้ำลายหรือเสมหะ รวมทั้งการทิ้งกระดาษทิชชูที่ใช้แล้ว ควรมีภาชนะใส่ให้เป็นที่เป็นทาง และสามารถนำไปทิ้งหรือทำความสะอาดได้สะดวก
- สามารถใช้ห้องน้ำร่วมกับผู้อื่นได้ แต่ควรระมัดระวังอย่าให้สิ่งขับถ่าย เช่น อุจจาระ ปัสสาวะ เสมหะ อาเจียน เป็นต้น เปรอะเปื้อนพื้นโถส้วม และอ่างล้างมือ ควรล้างทำความสะอาดด้วยผงซักฟอก หรือน้ำยาล้างห้องน้ำที่มีส่วนผสมของคลอรอกซ์ (Chlorox) เป็นประจำ และล้างมือหลังจากการขับถ่ายทุกครั้ง
3. สำหรับญาติหรือผู้ใกล้ชิดผู้ป่วย ควรปฏิบัติ ดังนี้
- ศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเอดส์อย่างถ่องแท้
- ให้กำลังใจ ดูแลผู้ป่วยด้วยความรักและความอบอุ่น เช่น การพูดคุย สัมผัสโอบกอด เป็นต้น และคอยกระตุ้นเตือนให้ผู้ป่วยกินตามคำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาต้านไวรัสให้ตรงเวลาทุกวัน อย่าได้ขาด
- หากผู้ป่วยมีบาดแผล หรือเปรอะเปื้อนเลือดหรือน้ำเหลืองที่ร่างกายหรือเสื้อผ้าของผู้ป่วย ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสถูกโดยตรง ถ้าจะสัมผัสควรสวมถุงมือยาง ถ้าไม่มีอาจใช้ถุงพลาสติกที่ไม่มีรูรั่ว 2-3 ชั้นแทนก็ได้
- เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าปูที่นอนของผู้ป่วยที่ไม่เปื้อนเลือดหรือน้ำเหลือง ไม่ต้องแยกซักต่างหาก แต่ถ้าเปื้อนเลือดหรือน้ำเหลือง ควรใช้ถุงมือยางจับต้อง และนำไปแช่ในน้ำผสมผงฟอกขาวประมาณ 30 นาทีเสียก่อน แล้วจึงนำไปซักด้วยผงซักฟอกตามปกติ
- ทุกคนในบ้านสามารถใช้ห้องน้ำ ห้องส้วมร่วมกับผู้ป่วยได้ แต่ควรทำความสะอาดโดยสวมถุงมือ และใช้น้ำยาล้างห้องน้ำ (ที่มีส่วนผสมของคลอรอกซ์) หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ
- เครื่องครัว ถ้วย จาน ชาม ช้อน ส้อม ไม่จำเป็นต้องแยกใช้ต่างหาก และในการกินอาหารร่วมสำรับกัน ควรใช้ช้อนกลางทุกครั้ง เพื่อสุขอนามัยที่ดี
สำหรับประชาชนทั่วไป
- หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลอื่นที่มิใช่คู่ครอง ควรยึดมั่นต่อการมีเพศสัมพันธ์กับคู่ครอง (รักเดียวใจเดียว)
- ถ้ายังนิยมมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลอื่น โดยเฉพาะหญิงบริการ หรือบุคคลที่มีเพศสัมพันธ์เสรี หรือมีพฤติกรรมเสี่ยงอื่น ๆ ก็ควรจะใช้ถุงยางอนามัยป้องกันทุกครั้ง
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์จนมึนเมา เพราะอาจชักนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย (ประมาท ไม่คิดป้องกันตัวเอง)
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสถูกเลือดของผู้อื่น เช่น ขณะช่วยเหลือผู้ที่มีบาดแผลเลือดออก ควรใส่ถุงมือยาง หรือถุงพลาสติก 2-3 ชั้น ป้องกันอย่าสัมผัสถูกเลือดโดยตรง
- หลีกเลี่ยงการใช้เข็มหรือกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
- หลีกเลี่ยงการใช้ของมีคม (เช่น ใบมีดโกน) ร่วมกับผู้อื่น ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก่อนใช้ควรทำลายเชื้อด้วยการแช่ในน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น แอลกอฮอล์ 70% โพวิโดนไอโอดีน 2.5% ทิงเจอร์ไอโอดีน, ไลซอล 0.5-3% โซเดียมไฮโพคลอไรด์ 0.1-0.5% (หรือน้ำยาคลอรอกซ์ 1 ส่วนผสมน้ำ 9 ส่วนก็ได้) เป็นต้น นาน 10-20 นาที
- ก่อนแต่งงาน ควรปรึกษาแพทย์ในการตรวจเช็กโรคเอดส์ ถ้าพบว่าคนใดคนหนึ่งมีเลือดบวก ควรพิจารณาหาทางป้องกันมิให้ติดให้อีกคนหนึ่ง
- คู่สมรสที่มีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ติดเชื้อ ควรคุมกำเนิด และป้องกันการแพร่เชื้อโดยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
- หญิงตั้งครรภ์ ที่คิดว่าตัวเองหรือคู่สมรสมีพฤติกรรมเสี่ยง ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจเลือดตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ใหม่ ๆ ถ้าพบว่ามีการติดเชื้อ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาต้านไวรัส เพื่อลดการติดเชื้อของทารกในครรภ์ (จากการวิจัยพบว่าสามารถลดการติดเชื้อได้ถึงประมาณ 2 ใน 3)
- มาตรการในระยะยาว คือ การรณรงค์ให้เกิดค่านิยมใหม่และสร้างครอบครัวที่อบอุ่น เพื่อป้องกันไม่ให้มีพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ เช่น การเที่ยวหญิงบริการ การติดยาเสพติด เป็นต้น
สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี จากการปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับการรักษาผู้ป่วย ควรประยุกต์ใช้มาตรการป้องกัน (universal precautions) อย่างเคร่งครัด เช่น การสวมถุงมือ การใช้ผ้าปิดจมูกหรือหน้ากาก การใส่เสื้อคลุม หรือการใช้อุปกรณ์ป้องกันอื่น ๆ เมื่อต้องปฏิบัติงานที่มีโอกาสสัมผัสถูกเลือด น้ำเหลือง สิ่งคัดหลั่ง หรือสิ่งขับถ่ายของผู้ป่วยทุกคน (ไม่ว่าจะสงสัยว่าเป็นผู้ติดเชื้อหรือไม่ก็ตาม)
ในกรณีที่ถูกเข็มที่ใช้กับผู้ป่วยแล้วตำ ซึ่งเป็นอุบัติเหตุที่พบได้บ่อย (ในสหรัฐอเมริกาพบว่าผู้ที่ถูกเข็มที่ใช้กับผู้ที่ติดเชื้อตำ มีโอกาสติดเชื้อประมาณร้อยละ 0.47) ควรรีบตรวจเลือดโดยเร็ว แล้วตรวจซ้ำในระยะ 3 เดือนและ 6 เดือนต่อมา
ถ้าผู้ป่วยมีประวัติการติดเชื้อเอชไอวีชัดเจน หรือตรวจเลือดผู้ป่วยพบว่ามีการติดเชื้อเอชไอวี (เลือดบวก) ควรให้ผู้ที่ถูกเข็มตำกินยาป้องกันโดยเร็วที่สุด (ภายใน 24 ชั่วโมงหลังถูกเข็มตำ) โดยการใช้ยาต้านไวรัส 3 ตัวร่วมกัน (เช่น AZT + 3TC + indinavir) นาน 4 สัปดาห์
การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีของทารกในครรภ์
เมื่อตรวจพบว่าหญิงตั้งครรภ์มีการติดเชื้อเอชไอวี แพทย์จะดำเนินการป้องกันมิให้ทารกในครรภ์ติดเชื้อ ดังนี้
1. ให้ยาต้านไวรัสเอซีที (AZT) แก่หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเมื่ออายุครรภ์ 34 สัปดาห์ โดยให้กินขนาดครั้งละ 300 มก. วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น ก่อนเจ็บท้องคลอด
ในระยะเจ็บท้องคลอดให้กินครั้งละ 300 มก. ทุก 3 ชั่วโมง จนกระทั่งคลอด
2. หลังคลอด ให้ทารกกินเอซีทีชนิดน้ำทันทีหลังคลอด ขนาด 2 มก./กก. ทุก 6 ชั่วโมง นาน 1 สัปดาห์ (ถ้ามารดาได้ยาเอซีทีตั้งแต่ 4 สัปดาห์ขึ้นไป) หรือ 6 สัปดาห์ (ถ้ามารดาได้ยาเอซีทีไม่ครบ 4 สัปดาห์)
1. สมัยก่อนที่จะมีการใช้ยาต้านไวรัส (antiretrovirus/ARV) ในการรักษาโรคนี้ ผู้ป่วยมักมีอาการรุนแรง เกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาส และเสียชีวิตในเวลาไม่นาน (ประมาณ 2-3 ปีหลังการวินิจฉัย) แต่ในปัจจุบันมีการใช้ยาต้านไวรัสร่วมกันตั้งแต่ 3 ชนิดขึ้นไป ดังที่เรียกว่า การใช้ยาต้านไวรัสความแรงสูง (highly active antiretroviral therapy/HAART) สามารถลดอัตราตายลงอย่างมาก และลดการดำเนินโรคจนเป็นเอดส์เต็มขั้นในผู้ติดเชื้อลงได้อย่างมีประสิทธิผล โดยยานี้ช่วยลดจำนวนเชื้อเอชไอวีลง และทำให้ CD4 lymphocyte (ซึ่งบ่งบอกถึงระดับภูมิคุ้มกันของร่างกาย) เพิ่มมากขึ้นจนลดการติดเชื้อฉวยโอกาส ทำให้ผู้ป่วยมีสุขภาพแข็งแรง
ในปัจจุบันจึงถือว่าโรคเอดส์เป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่งที่สามารถให้ยาควบคุมจนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีอายุยืนยาวได้
2. วัคซีนป้องกันโรคเอดส์ ในปัจจุบันยังอยู่ในขั้นศึกษาทดลอง ดังนั้นการป้องกันโรคนี้จึงอยู่ที่การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงเป็นสำคัญ
3. การบริจาคเลือดที่คลังเลือดไม่มีโอกาสจะติดเชื้อเอชไอวี เพราะเจ้าหน้าที่จะใช้อุปกรณ์ชุดใหม่ทุกครั้ง จึงไม่มีโอกาสจะปนเปื้อนเลือดของผู้อื่น
4. การใช้สมุนไพรในการรักษาโรคเอดส์ ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าได้ผลในการทำให้หายได้จริง นอกจากช่วยบรรเทาอาการให้สุขสบาย ช่วยเสริมสร้างกำลังใจ และช่วยให้สุขภาพทั่วไปดีขึ้นชั่วขณะ หากจะใช้สมุนไพรรักษา ควรปรึกษาแพทย์หรือทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและมีความรู้จักมักคุ้น
5. ผู้ที่มีอาการไข้ เจ็บคอ ผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองโตคล้ายไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ แต่ไม่มีอาการเป็นหวัด น้ำมูกไหล หากมีพฤติกรรมเสี่ยงควรตรวจเลือดพิสูจน์ อาจเป็นการติดเชื้อเอชไอวีระยะแรกเริ่มก็ได้ หากพบว่าเป็นจริง การได้รับการดูแลรักษาตั้งแต่แรก รวมทั้งการให้ยาต้านไวรัสมีส่วนช่วยชะลอไม่ให้โรคดำเนินสู่ระยะรุนแรงมากขึ้นได้